เทรนด์ใหม่ใน Network Security ปี 2024 สิ่งที่คุณต้องรู้

Network Security 2024

เทรนด์ใหม่ใน Network Security ปี 2024 สิ่งที่คุณต้องรู้

ทำความเข้าใจกับ Network Security ปี 2024

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของชีวิตและธุรกิจ การรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายหรือ Network Security ปี 2024 กลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือธุรกิจขนาดเล็ก การปกป้องข้อมูลและระบบเครือข่ายจากการโจมตีทางไซเบอร์ การละเมิดข้อมูล และภัยคุกคามอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจละเลยได้

ความสำคัญของ Network Security ปี 2024  ในยุคดิจิทัล

เราอยู่ในยุคที่ข้อมูลถือเป็นสินทรัพย์สำคัญของทุกองค์กร การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลนั้นจึงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้าและข้อมูลธุรกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ขององค์กรด้วย ในยุคดิจิทัล การเข้าถึงข้อมูลและการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น แต่พร้อมกันนั้นก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

การพัฒนาเทคโนโลยีและผลกระทบต่อ Network Security 

ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning), และอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ทำให้การปกป้องเครือข่ายต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งและภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้จำเป็นต้องมีการวางแผนและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงการมีกลยุทธ์ในการป้องกันที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพ

ในปี 2024 นี้ เราจะได้เห็น Network Security ที่ไม่เพียงแต่ต้องรับมือกับภัยคุกคามในปัจจุบัน แต่ยังต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในโลกดิจิทัลที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง

อ่านเพิ่มเติม : Cyber security คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ

ส่วนที่ 1: เทรนด์หลักใน Network Security ปี 2024

1.1 ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้เครื่องจักร

  • การใช้ AI ในการป้องกันและตรวจจับภัยคุกคาม
  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ใน Network Security

ในปี 2024, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เครื่องจักร (Machine Learning) ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในด้าน Network Security ความสามารถของ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลและการตรวจจับแบบแม่นยำได้เปิดประตูสู่การป้องกันและตรวจจับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและรวดเร็วยิ่งขึ้น

Network Security ปี 2024

การใช้ AI ในการป้องกันและตรวจจับภัยคุกคาม

AI มีบทบาทในการปรับปรุงระบบการตรวจจับและการป้องกันภัยคุกคาม (Threat Detection and Prevention) โดยสามารถวิเคราะห์และเรียนรู้จากพฤติกรรมของข้อมูลเครือข่าย ทำให้สามารถตรวจจับภัยคุกคามที่ซับซ้อนหรือการโจมตีแบบใหม่ๆ ได้ นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการแยกแยะระหว่างการจราจรข้อมูลที่ปกติกับที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น (False Positives)

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ใน Network Security

  • การตรวจจับการโจมตีแบบ Zero-Day: AI ช่วยให้ระบบตรวจจับการโจมตีที่ไม่เคยพบมาก่อน (Zero-Day Attacks) ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมและรูปแบบการเข้าถึงข้อมูลที่ผิดปกติ
  • การป้องกันการโจมตีแบบ Phishing: โดยใช้ AI ในการวิเคราะห์และจำแนกอีเมลหรือข้อความที่อาจเป็นการหลอกลวง เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Phishing
  • การปรับปรุงการตอบสนองต่อเหตุการณ์: AI สามารถช่วยในการวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ความปลอดภัย เพื่อให้ทีมตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การประยุกต์ใช้ AI ใน Network Security ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามเท่านั้น แต่ยังช่วยให้องค์กรสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ และเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อภัยคุกคามต่างๆ

1.2 ความปลอดภัยบน Cloud

การใช้งาน Cloud Computing ได้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และด้วยการขยายตัวนี้ ความท้าทายในเรื่องของความปลอดภัยบน Cloud ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในปี 2024, การปกป้องข้อมูลและระบบบน Cloud จึงกลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่องค์กรทุกขนาดต้องให้ความสำคัญ

การพัฒนา Cloud Security และท้าทายที่เพิ่มขึ้น

การพัฒนาเทคโนโลยี Cloud ได้นำไปสู่ความจำเป็นในการพัฒนามาตรการความปลอดภัยที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ท้าทายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ การจัดการข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้น, ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการโจมตีไซเบอร์, และการป้องกันข้อมูลในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

แนวทางการป้องกันข้อมูลบน Cloud

  • การใช้การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption): สำคัญในการป้องกันข้อมูลที่ส่งผ่านหรือเก็บไว้บน Cloud
  • การจัดการการเข้าถึงข้อมูล (Access Management): ใช้สิทธิการเข้าถึงข้อมูลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • การติดตามและการวิเคราะห์การจราจรข้อมูล (Traffic Monitoring and Analysis): เพื่อตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามต่างๆ
  • การอัพเดทและการบำรุงรักษาระบบอย่างต่อเนื่อง: สำคัญในการป้องกันข้อบกพร่องและช่องโหว่ของระบบ
  • การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนักรู้: ให้กับพนักงานเกี่ยวกับข้อผิดพลาดทางมนุษย์ที่อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูล

การปกป้องข้อมูลบน Cloud ในปี 2024 จึงไม่เพียงแต่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีกลยุทธ์ที่รอบด้านและการมีจิตสำนึกในเรื่องความปลอดภัยที่แข็งแกร่งในทุกระดับขององค์กร

1.3 เทคโนโลยี Blockchain ใน Network Security ปี 2024

  • การนำ Blockchain มาใช้ในการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย
  • ผลกระทบและความท้าทายของ Blockchain ใน Network Security

Blockchain, เทคโนโลยีที่เริ่มต้นจากการเป็นพื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, ได้พัฒนามาเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในด้าน Network Security ในปี 2024 ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่มีในด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส เทคโนโลยีนี้ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย

การนำ Blockchain มาใช้ในการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย

การนำ Blockchain มาใช้ใน Network Security ช่วยให้การจัดการและการตรวจสอบข้อมูลเป็นไปอย่างโปร่งใสและไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้ ด้วยการกระจายข้อมูลไปยังโหนดหลายๆ แห่งบนเครือข่าย ทำให้การโจมตีเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลนั้นยากขึ้นมาก นอกจากนี้ การใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ใน Blockchain ยังช่วยให้สามารถอัตโนมัติการตรวจสอบและการดำเนินการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง

ผลกระทบและความท้าทายของ Blockchain ใน Network Security

  • ผลกระทบต่อความปลอดภัย: การนำ Blockchain มาใช้เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและการจัดการข้อมูล โดยทำให้ข้อมูลไม่สามารถถูกปลอมแปลงหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
  • ความท้าทาย: อย่างไรก็ตาม การนำ Blockchain มาใช้ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความต้องการทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่สูง ความซับซ้อนในการบูรณาการเข้ากับระบบเดิม และการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยที่เป็นสัมบูรณ์

การใช้ Blockchain ใน Network Security นับเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่น่าจับตามอง ด้วยความสามารถในการเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือให้กับเครือข่าย แต่ยังต้องใช้การจัดการที่รอบคอบและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด

อ่านเพิ่มเติม : Cyber Security ความปลอดภัยไซเบอร์ 5 ประเภท มีอะไรบ้าง?

ส่วนที่ 2: ภัยคุกคามและทางแก้ Network Security ปี 2024

2.1 ภัยคุกคามใหม่ใน Network Security

ปี 2024 ได้เห็นการเพิ่มขึ้นของภัยคุกคามใหม่ๆ ใน Network Security ซึ่งท้าทายความสามารถขององค์กรในการป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคามเหล่านี้

ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจาก IoT Devices

อุปกรณ์ Internet of Things (IoT) เป็นที่นิยมและแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็นำพาภัยคุกคามด้านความปลอดภัยมาด้วย อุปกรณ์เหล่านี้มักมีการป้องกันที่อ่อนแอ ทำให้เป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น ภัยคุกคามเหล่านี้รวมถึงการแฮ็กเข้าควบคุมอุปกรณ์, การส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย, และการใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายบอทเน็ต

การโจมตีแบบ Ransomware และวิธีป้องกัน

การโจมตีแบบ Ransomware คืออะไร Ransomware ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุด การโจมตีประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสข้อมูลของผู้ใช้และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อปลดล็อก วิธีป้องกันหลัก ได้แก่ การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ, การอัพเดทซอฟต์แวร์และระบบป้องกันอย่างต่อเนื่อง, และการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการระวังการคลิกลิงก์หรือไฟล์ที่ไม่ปลอดภัย

การเตรียมพร้อมและการมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภัยคุกคาม

Network Security ปี 2024

2.2 กฎหมายและกติกาใหม่ที่มีผลต่อ Network Security ปี 2024

  • การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล
  • แนวทางในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่

ในปี 2024, การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับ Network Security กลายเป็นประเด็นสำคัญที่องค์กรต่างๆ ต้องให้ความสนใจ เนื่องจากการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลองค์กรเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล

กฎหมายใหม่ๆ ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายเหล่านี้รวมถึงการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล, การใช้งานข้อมูล, และการปกป้องข้อมูลจากการละเมิด องค์กรจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านี้เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลและความเสี่ยงทางกฎหมาย

แนวทางในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่

  • การประเมินและการปรับปรุงนโยบายความปลอดภัย: องค์กรต้องทำการประเมินและปรับปรุงนโยบายความปลอดภัยของตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานใหม่
  • การฝึกอบรมพนักงาน: สำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่
  • การติดตามและการรายงาน: การติดตามและการรายงานเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่ในด้าน Network Security ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงทางกฎหมายได้ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจด้วย

ส่วนที่ 3: เครื่องมือและเทคนิคที่น่าสนใจ Network Security ปี 2024

3.1 เครื่องมือใหม่ใน Network Security

ปี 2024 ได้เห็นการเปิดตัวเครื่องมือและซอฟต์แวร์ใหม่ๆ มากมายในด้าน Network Security ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยองค์กรรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นและซับซ้อนมากขึ้น

ซอฟต์แวร์และเครื่องมือที่เปิดตัวในปี 2024

ในปี 2024, มีเครื่องมือและซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ที่เปิดตัว ซึ่งรวมถึงเครื่องมือที่ใช้ AI และ Machine Learning ในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคาม, ระบบการจัดการความปลอดภัยแบบบูรณาการ, และเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบและป้องกันการโจมตีบน Cloud และ IoT Devices

การประเมินและเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม

การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่:

  • การประเมินความต้องการและความเสี่ยง: ประเมินความต้องการขององค์กรและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
  • การทดลองและการประเมินผล: การทดลองใช้เครื่องมือก่อนตัดสินใจใช้งานอย่างเต็มรูปแบบเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือนั้นตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพ
  • การอัพเดทและการบำรุงรักษา: พิจารณาถึงการอัพเดทและการบำรุงรักษาของเครื่องมือ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือนั้นจะมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในระยะยาว

การเลือกใช้เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมในด้าน Network Security เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นและซับซ้อนในปี 2024

3.2 เทคนิคการป้องกันที่ทันสมัย

ปี 2024 เป็นปีที่เทคนิคการป้องกันในด้าน Network Security ได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก ซึ่งประกอบด้วยวิธีการที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อน

เทคนิคการป้องกันที่นิยมในปี 2024

  • การใช้ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้เครื่องจักร: การใช้ AI และ Machine Learning ในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามอย่างอัตโนมัติ
  • การใช้ระบบจัดการความปลอดภัยแบบบูรณาการ (Unified Security Management): รวมเครื่องมือและกระบวนการต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  • การป้องกันภัยคุกคามบน Cloud และ IoT Devices: การพัฒนาเทคนิคเฉพาะเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของอุปกรณ์ IoT และระบบ Cloud

การอัพเดทและการปรับปรุงระบบความปลอดภัย

  • การอัพเดทระบบป้องกันอย่างต่อเนื่อง: การปรับปรุงซอฟต์แวร์และระบบป้องกันเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทดสอบและการประเมินความปลอดภัย: การทดสอบเป็นประจำเพื่อประเมินความแข็งแกร่งของระบบความปลอดภัยและการปรับปรุงให้เหมาะสม
  • การฝึกอบรมพนักงาน: การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากข้อผิดพลาดของมนุษย์

การใช้เทคนิคการป้องกันที่ทันสมัยและการอัพเดทระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายและข้อมูลในองค์กรในปี 2024

ส่วนที่ 4: มุมมองและการเตรียมพร้อมสำหรับองค์กร

4.1 การปรับตัวขององค์กรต่อ Network Security ในปี 2024

การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาในด้าน Network Security ในปี 2024 ได้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ สำหรับองค์กรในทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม

Network Security ปี 2024

ความท้าทายและโอกาสสำหรับองค์กร

  • ความท้าทาย: องค์กรต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้อมูล
  • โอกาส: การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในด้าน Network Security นำมาซึ่งโอกาสในการปรับปรุงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบเครือข่าย

การเตรียมพร้อมและการวางแผนสำหรับองค์กร

  • การประเมินความเสี่ยงและการวางแผน: องค์กรต้องประเมินความเสี่ยงและวางแผนเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการพัฒนาแผนฉุกเฉินและการฟื้นตัวจากเหตุการณ์
  • การลงทุนในเทคโนโลยีและการฝึกอบรม: การลงทุนในเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ใหม่ๆ สำหรับ Network Security และการฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้และความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคาม
  • การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ: การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Network Security เพื่อประเมินและปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย

การปรับตัวและการเตรียมพร้อมขององค์กรในด้าน Network Security ในปี 2024 จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรสามารถรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.2 การศึกษากรณีและเรียนรู้จากองค์กรอื่น

การศึกษากรณีและการเรียนรู้จากประสบการณ์ขององค์กรอื่นเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงกลยุทธ์ความปลอดภัยของเครือข่าย

ตัวอย่างการจัดการความปลอดภัยขององค์กรชั้นนำ

  • การใช้ AI และ Machine Learning: หลายองค์กรชั้นนำได้นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  • การจัดการความปลอดภัยบน Cloud: ตัวอย่างของการปรับปรุงความปลอดภัยบน Cloud และการใช้มาตรการเพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญจากการรั่วไหลหรือการโจมตี

บทเรียนที่ได้รับจากกรณีศึกษา

  • ความสำคัญของการอัพเดทและการบำรุงรักษา: การอัพเดทและการบำรุงรักษาระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ
  • การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนักรู้ให้กับพนักงาน: ความตระหนักรู้และการฝึกอบรมพนักงานเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภัยคุกคามที่เกิดจากข้อผิดพลาดของมนุษย์

กรณีศึกษาและการเรียนรู้จากองค์กรอื่นช่วยให้องค์กรสามารถเห็นภาพรวมของแนวทางการจัดการความปลอดภัยที่มีประสิทธิผลและปรับใช้กับสถานการณ์ของตนเองได้อย่างเหมาะสม

สรุป: การปรับตัวและการเตรียมพร้อมสำหรับ Network Security ปี 2024

ในขณะที่โลกดิจิทัลกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ภัยคุกคามทางไซเบอร์และความต้องการในการปกป้องเครือข่ายเป็นสิ่งที่องค์กรทุกขนาดต้องให้ความสำคัญในปี 2024

สรุปแนวโน้มหลักและคำแนะนำ

  • เทคโนโลยี AI และ Machine Learning: เทคโนโลยีเหล่านี้กลายเป็นส่วนสำคัญในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามอย่างทันท่วงทีและแม่นยำ
  • ความปลอดภัยบน Cloud และ IoT: การปรับปรุงความปลอดภัยบน Cloud และการจัดการภัยคุกคามที่เกิดจาก IoT Devices เป็นสิ่งจำเป็น
  • การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่: การทำความเข้าใจและการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมายและรักษาความน่าเชื่อถือขององค์กร

การวางแผนและการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

  • การวางแผนการป้องกันและการฟื้นตัว: การมีแผนการป้องกันที่เข้มแข็งและแผนการฟื้นตัวจากเหตุการณ์ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ
  • การลงทุนในเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์: การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และการพัฒนาทักษะของทีมงานเป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในระยะยาว

การเตรียมพร้อมและการปรับตัวขององค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามทาง Network Security ในปี 2024 จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องตัวเองและลูกค้าของตนในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป

อ่านเพิ่มเติม : Cybersecurity Mesh โครงสร้างพื้นฐานของ Cyber defense ใช้ในบริษัท

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

คำถามและคำตอบเกี่ยวกับเทรนด์ Network Security ปี 2024

Q1: เทคโนโลยีใดที่จะมีบทบาทสำคัญใน Network Security ในปี 2024?

  • A1: เทคโนโลยี AI และ Machine Learning จะมีบทบาทสำคัญในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคาม นอกจากนี้ Blockchain และเทคโนโลยี Cloud Security ก็จะเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้น

Q2: ความท้าทายหลักในด้าน Network Security ในปี 2024 คืออะไร?

  • A2: ความท้าทายหลักประกอบด้วยการจัดการภัยคุกคามที่เกิดจาก IoT Devices, การป้องกันการโจมตีแบบ Ransomware, และการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานใหม่ๆ

Q3: องค์กรควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับเทรนด์ Network Security ในปี 2024?

  • A3: องค์กรควรลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ, อัพเดทและบำรุงรักษาระบบความปลอดภัย, ฝึกอบรมพนักงาน, และจัดทำแผนการป้องกันและการฟื้นตัวจากเหตุการณ์

คำแนะนำและทรัพยากรเพิ่มเติม

Q4: มีแหล่งข้อมูลใดบ้างที่แนะนำสำหรับการติดตามเทรนด์และข่าวสารเกี่ยวกับ Network Security?

  • A4: แหล่งข้อมูลที่แนะนำ ได้แก่ บล็อกและเว็บไซต์ที่เชี่ยวชาญในด้าน Network Security, การประชุมและสัมมนาทางออนไลน์, และการติดตามผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผ่านโซเชียลมีเดีย

Q5: มีเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ใดที่แนะนำสำหรับการปรับปรุงความปลอดภัยของเครือข่าย?

  • A5: เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่แนะนำ ได้แก่ โซลูชันความปลอดภัยที่ใช้ AI และ Machine Learning, ระบบการจัดการความปลอดภัยบน Cloud, และเครื่องมือสำหรับการจัดการความปลอดภัยของ IoT Devices

หรือหากคุณต้องการบริการผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Network Securities ที่ดูแลคุณแบบครบวงจร จ่ายเป็นรายเดือน  แนะนำบริการจาก Firewall as a Service จาก Prospace เลยครับ

Firewall as a Service

ช่วยออกแบบความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล​

  • Firewall subscription model
  • พร้อมพนักงานบริหารจัดการระบบหลังบ้าน
  • มีการตั้งค่า configuration ตามนโยบายบริษัท
  • มีที่ปรึกษาดูแลระบบตลอดอายุสัญญา

ปรึกษาการทำ Cyber Security

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้

Cyber security คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ

Cyber Security คือ

Cyber security คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ

Cyber security ในธุรกิจ ความสำคัญและการปกป้องข้อมูล

ในยุคดิจิทัล ความปลอดภัยทางไซเบอร์หรือ Cyber security ได้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ธุรกิจทุกขนาดต้องให้ความสนใจ การป้องกันข้อมูลและระบบเทคโนโลยีจากการโจมตีทางไซเบอร์ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันข้อมูลลูกค้าและข้อมูลภายในองค์กรจากการถูกละเมิดเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของธุรกิจด้วย

Cyber security คือการป้องกันและการจัดการกับภัยคุกคามต่างๆ ในโลกไซเบอร์ รวมถึงการป้องกันการเข้าถึง การเปลี่ยนแปลง หรือการทำลายข้อมูลและระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ผลกระทบของการละเมิดข้อมูลสามารถนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจ ทั้งในด้านการเงินและชื่อเสียง

Cyber security คืออะไร? การเข้าใจพื้นฐานที่สำคัญ

อธิบายแนวคิดพื้นฐานของ Cyber security คืออะไร

   – Cyber security คือการปกป้องระบบคอมพิวเตอร์, เครือข่าย, และข้อมูลจากการเข้าถึง, การเปลี่ยนแปลง, หรือการทำลายโดยไม่ได้รับอนุญาต

   – มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันข้อมูลจากภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดจากภายนอกหรือภายในองค์กร

   – รวมถึงการปกป้องต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ความผิดพลาดจากมนุษย์, ความล้มเหลวของระบบ, หรือภัยธรรมชาติ

 

ประเภทของภัยคุกคามทางไซเบอร์

   – มัลแวร์ (Malware): ซอฟต์แวร์ที่มีจุดประสงค์เพื่อทำลายหรือขโมยข้อมูล รวมถึงไวรัส, โทรจัน, สปายแวร์

   – ฟิชชิ่ง (Phishing):การส่งอีเมลหลอกลวงเพื่อหลอกให้ผู้รับเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลทางการเงิน

   – การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service): การโจมตีที่ทำให้เว็บไซต์หรือระบบไม่สามารถให้บริการได้โดยการท่วมระบบด้วยจำนวนการเข้าถึงที่มากเกินไป

   – การโจมตีแบบ Ransomware: การล็อคระบบหรือข้อมูลและเรียกร้องเงินค่าไถ่เพื่อปลดล็อค

   – การโจมตีผ่านช่องโหว่ของซอฟต์แวร์: การใช้ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในซอฟต์แวร์หรือระบบเพื่อเข้าถึงหรือทำลายข้อมูล

ผลกระทบต่อธุรกิจ

   – การสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความลับทางธุรกิจ อาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและคู่ค้า

   – การหยุดชะงักของการดำเนินงาน ภัยคุกคามทางไซเบอร์อาจทำให้การดำเนินงานของธุรกิจหยุดชะงักทำให้เกิดความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียง

   – ความเสี่ยงทางกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อบังคับ  การละเมิดข้อมูลอาจทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับความรับผิดชอบทางกฎหมายและการปรับจากหน่วยงานกำกับดูแล

ความสำคัญของ Cyber security ต่อธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง

การวิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของ Cyber securityในธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง

   – ธุรกิจขนาดเล็กและกลางมักมีทรัพยากรจำกัดในการจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น ทรัพยากรทางการเงิน ความรู้เฉพาะทางด้านเทคนิค หรือบุคลากรที่มีความชำนาญ

   – ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่หลากหลาย ตั้งแต่การโจมตีด้วยมัลแวร์ไปจนถึงการโจมตีแบบ DDoS

   – การป้องกันข้อมูลลูกค้าและข้อมูลภายในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการรั่วไหลของข้อมูลสามารถนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือจากลูกค้า

– ธุรกิจขนาดเล็กและกลางมีความเสี่ยงจากการโจมตีเพราะแฮคเกอร์รู้ว่าบริษัทเหล่านี้มีการป้องกันไม่รัดกุม ทำให้เขาสนใจที่จะโจมตีมากกว่า บริษัทขนาดใหญ่เพราะมีการป้องกันที่รัดกุมกว่า การเจาะระบบจึงทำได้ยาก

ตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงและกรณีศึกษา

   – ตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงของโรงพยาบาลสระบุรีซึ่งได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วย Ransomware โดยถูกเรียกค่าไถ่ด้วยจำนวนมากถึง 200,000 บิตคอยน์ หรือประมาณ 63,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวอย่างของการโจมตีที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจและบริการสาธารณสุขในประเทศไทย

ข่าวอ้างอิง 

   – กรณีศึกษาของธุรกิจที่ถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ เป็นตัวอย่างของความจำเป็นในการอัปเดตระบบและซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภัยคุกคาม

ในประเทศไทยมีกรณีที่บริษัทหรือองค์กรถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะที่ใช้ช่องโหว่บน VMware ESXi (CVE-2021-21974) ซึ่งเป็นตัวอย่างของการโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เก่า การโจมตีเช่นนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภัยคุกคาม
ข่าวอ้างอิง
   – กรณีศึกษาของการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ส่งผลให้ธุรกิจสูญเสียข้อมูลทางการเงินและข้อมูลลูกค้าสำคัญ

ถึงแม้จะยังไม่มีการเปิดเผยบริษัทโดยตรงแต่ในประเทศไทย การโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ส่งผลให้ธุรกิจหลายแห่งต้องเผชิญกับการสูญเสียข้อมูลทางการเงินและข้อมูลลูกค้าสำคัญ ตัวอย่างเช่น การโจมตีที่มีผู้ใช้ในไทยถูกหลอกขโมยข้อมูลมากถึง 1.5 ล้านครั้ง โดยการโจมตีเหล่านี้มักจะอาศัยเหตุการณ์สำคัญ เช่น ภัยธรรมชาติหรือโรคระบาด เป็นโอกาสในการหลอกลวง และมีการใช้เว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บไซต์ของธนาคารเพื่อให้เหยื่อกรอกข้อมูลล็อกอินและรหัสผ่าน ซึ่งสามารถนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลทางการเงินสำคัญของธุรกิจ

ข่าวอ้างอิง

การป้องกันและการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางไม่ควรมองข้าม การลงทุนในมาตรการป้องกันและระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการสูญเสียทางการเงินและชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในยุคดิจิทัล

กลยุทธ์ในการป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์

  1. การฝึกอบรมพนักงาน: การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยและการจดจำภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญ หลายครั้งความผิดพลาดจากมนุษย์เป็นช่องทางหลักที่ทำให้เกิดการโจมตีทางไซเบอร์
  2. การใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์: ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ช่วยป้องกันภัยคุกคามที่อาจเข้ามาทางเครือข่ายขององค์กร การติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  3. การจัดการพาร์ติชันและการเข้าถึงข้อมูล: การจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลตามหน้าที่การงานช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต
  4. การสำรองข้อมูล: มีระบบสำรองข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือช่วยให้ธุรกิจสามารถกู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วหากเกิดเหตุการณ์เช่นการโจมตีด้วยไวรัสหรือมัลแวร์

การปรับตัวของธุรกิจในยุคดิจิทัลและการรับมือกับ Cyber security

ความจำเป็นของการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

   – ธุรกิจในยุคดิจิทัลต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

   – การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาพร้อมกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น, เช่น การโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูล

การบูรณาการ Cyber security เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจ

   – การรวม Cyber security เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความยั่งยืนและความปลอดภัยของธุรกิจ

   – รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร การอัปเดตระบบและซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ, และการฝึกอบรมพนักงานในเรื่องความรู้ด้านไซเบอร์ security

การปรับตัวในด้านเทคโนโลยีและการรวม Cyber security เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นในยุคดิจิทัล.

อนาคตของ Cyber security และการเตรียมตัวของธุรกิจ

นวัตกรรมและแนวโน้มใหม่ๆ ใน Cyber security

   – อนาคตของ Cyber security จะเน้นไปที่การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามอย่างอัตโนมัติ

   – การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทรัพย์สินดิจิทัล

คำแนะนำในการเตรียมตัวสำหรับอนาคตและการป้องกันธุรกิจ

   – ธุรกิจควรปรับกลยุทธ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อรับมือกับภัยคุกคามและเทคโนโลยีใหม่ๆ

   – การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์

สรุป

   – Cyber security เป็นส่วนสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในการดำเนินธุรกิจ

   – ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและอัปเดตระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป

อ่านเพิ่มเติม : เทรนด์ใหม่ใน Network Security ปี 2024 สิ่งที่คุณต้องรู้

หรือหากคุณต้องการบริการผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Cyber Securities ที่ดูแลคุณแบบครบวงจร จ่ายเป็นรายเดือน  แนะนำบริการจาก Firewall as a Service จาก Prospace เลยครับ

Firewall as a Service

ช่วยออกแบบความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล​

  • Firewall subscription model
  • พร้อมพนักงานบริหารจัดการระบบหลังบ้าน
  • มีการตั้งค่า configuration ตามนโยบายบริษัท
  • มีที่ปรึกษาดูแลระบบตลอดอายุสัญญา

ปรึกษาการทำ Cyber Security

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้

การเลือกซื้อ Firewall สำหรับมือใหม่

ซื้อ Firewall

การเลือกซื้อ Firewall สำหรับมือใหม่

การเลือกซื้อ Firewall เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปกป้องข้อมูลและเครือข่ายของคุณจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ในบทความนี้ เราจะแนะนำเคล็ดลับและข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่ในการเลือกซื้อ Firewall

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Firewall ไฟร์วอลล์

อะไรคือ Firewall?

Firewall เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อควบคุมและตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลในเครือข่ายของคุณ มันทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นระหว่างเครือข่ายภายในกับโลกภายนอก

Firewall คือ อะไร หน้าที่ ประเภท ทำงานอย่างไร

ประเภทของ Firewall

1. Firewall แบบ Packet Filtering

   – Firewall ประเภทนี้ทำงานโดยการตรวจสอบและกรองข้อมูลหรือ “packet” ที่ผ่านเข้าออกจากเครือข่าย

   – ตรวจสอบข้อมูลที่อยู่ภายในของแต่ละ packet เช่น ที่อยู่ IP, พอร์ต, โปรโตคอล, และอื่นๆ

   – ขึ้นอยู่กับกฎที่ได้ตั้งไว้ มันจะตัดสินใจว่าจะอนุญาตหรือปฏิเสธ packet นั้นๆ

2. Firewall แบบ Stateful Inspection

   – นอกจากการตรวจสอบข้อมูลภายใน packet, firewall ประเภทนี้ยังทำการตรวจสอบ “สถานะ” ของการเชื่อมต่อ

   – จำข้อมูลของแต่ละการเชื่อมต่อและใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจกรองข้อมูล

   – สามารถตรวจจับและป้องกันการบุกรุกหรือภัยคุกคามที่ซับซ้อนได้ดีกว่า firewall แบบ Packet Filtering

3. Next-Generation Firewall (NGFW)

  – NGFW คือการผสมผสานของคุณสมบัติของ Stateful Inspection พร้อมด้วยความสามารถอื่นๆ เช่น การตรวจจับและป้องกันการบุกรุก (IPS), การทำ Deep Packet Inspection (DPI), และการควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชัน

   – มีความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามที่ซับซ้อน เช่น มัลแวร์, การโจมตีแบบ zero-day, และการรั่วไหลของข้อมูล

   – ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อนและมีการใช้งานที่หลากหลาย

แต่ละประเภทของ Firewall มีคุณสมบัติและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้จึงควรพิจารณาตามความต้องการและขนาดของเครือข่ายที่คุณมีครับ!

การประเมินความต้องการของคุณ

ขนาดและความซับซ้อนของเครือข่าย

การประเมินขนาดและความซับซ้อนของเครือข่ายของคุณเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเลือกซื้อ Firewall ที่เหมาะสม ทั้งขนาดและความซับซ้อนมีผลต่อประเภทของ Firewall ที่คุณควรเลือกใช้

1. ขนาดของเครือข่าย

   – ขนาดของเครือข่ายหมายถึงจำนวนอุปกรณ์และจุดเชื่อมต่อที่ต้องการการปกป้อง

   – สำหรับเครือข่ายขนาดเล็กหรือการใช้งานที่บ้าน, คุณอาจไม่ต้องการ Firewall ที่ซับซ้อนหรือมีความสามารถมากนัก

   – ในขณะที่เครือข่ายขนาดใหญ่หรือองค์กรที่มีหลายสาขาอาจต้องการ Firewall ที่มีความสามารถในการจัดการการเชื่อมต่อจำนวนมากและให้การป้องกันระดับสูง

2. ความซับซ้อนของเครือข่าย

   – ความซับซ้อนของเครือข่ายไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่กับขนาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลักษณะของการใช้งาน โครงสร้างเครือข่าย และการใช้งานของแอปพลิเคชันต่างๆ

   – เครือข่ายที่มีการใช้งานแอปพลิเคชันที่หลากหลาย หรือมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือระบบคลาวด์อย่างเข้มข้นจะต้องการ Firewall ที่มีความสามารถในการจัดการและควบคุมการเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การพิจารณาทั้งขนาดและความซับซ้อนของเครือข่ายจะช่วยให้คุณเลือก Firewall ที่ตอบสนองต่อความต้องการของคุณได้อย่างเหมาะสม

คุณสมบัติที่ควรมองหาใน Firewall

ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนอง

การเลือกซื้อ Firewall ที่มีความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยของเครือข่าย คุณควรมองหา Firewall ที่สามารถตรวจจับภัยคุกคามที่หลากหลาย เช่น ไวรัส, มัลแวร์, และการโจมตีแบบต่างๆ นอกจากนี้ ควรเลือก Firewall ที่มีความสามารถในการปรับปรุงฐานข้อมูลภัยคุกคามอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ ได้ทันท่วงที

การจัดการและการตั้งค่า

Firewall ที่มีการจัดการและการตั้งค่าที่ง่ายจะช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพ การมีอินเตอร์เฟสผู้ใช้ที่เข้าใจง่ายและการตั้งค่าที่ไม่ซับซ้อนจะช่วยลดเวลาและความพยายามในการดูแลรักษา ควรเลือก Firewall ที่มีคุณสมบัติสำหรับการตั้งค่าโปรไฟล์การใช้งานต่างๆ และการปรับแต่งกฎการเข้าถึงเครือข่ายได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ การมีการสนับสนุนทางเทคนิคและคู่มือการใช้งานที่ชัดเจนก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้คุณจัดการและบำรุงรักษา Firewall ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

การเลือก Firewall ตามประเภทธุรกิจหรือการใช้งาน

ธุรกิจขนาดใหญ่

สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายภายในและภายนอกที่ซับซ้อน, การเลือก Firewall ที่มีความสามารถสูงในการป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อนเป็นสิ่งสำคัญ ควรพิจารณา Firewall ที่มีฟังก์ชัน Advanced Threat Protection (ATP), การควบคุมแอปพลิเคชัน, และการเข้ารหัสข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องข้อมูลและทรัพย์สินทางธุรกิจ Firewall ที่เลือกควรสามารถทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ ในเครือข่ายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น ระบบป้องกันการรั่วไหลข้อมูล (Data Loss Prevention – DLP) และระบบการจัดการภัยคุกคามที่มีการปรับปรุงต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและซับซ้อน

ธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง, การเลือก Firewall ควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่างคุณภาพและต้นทุน คุณอาจไม่ต้องการระบบที่มีความซับซ้อนสูงเกินไป แต่ต้องการความปลอดภัยที่เพียงพอสำหรับการป้องกันข้อมูลและทรัพย์สินของธุรกิจ Firewall ที่มีความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามพื้นฐานและมีการจัดการที่ง่ายดายเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ ควรมีระบบสนับสนุนที่ดีเพื่อช่วยให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

การใช้งานส่วนตัว

สำหรับการใช้งานส่วนตัว การเลือก Firewall ที่เหมาะสมกับความต้องการใช้งานและงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการการป้องกันพื้นฐาน Firewall ที่มีความสามารถในการกรองข้อมูลและป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ปลอดภัยอาจเพียงพอแล้ว ตัวเลือกที่มีราคาไม่สูงและง่ายต่อการตั้งค่าและการบำรุงรักษาเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา นอกจากนี้ ควรเลือก Firewall ที่มีคู่มือการใช้งานที่ชัดเจนและการสนับสนุนทางเทคนิคที่ดีเพื่อความสะดวกในการจัดการเมื่อเกิดปัญหา

งบประมาณและต้นทุนในการดำเนินการ

การพิจารณางบประมาณ

การกำหนดงบประมาณสำหรับซื้อ Firewall ควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่เฉพาะแค่ราคาซื้อเริ่มต้น เช่น ค่าบำรุงรักษา, อัปเดตซอฟต์แวร์, และค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงต้นทุนการดำเนินการระยะยาว เช่น ค่าไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน Firewall การเลือก Firewall ที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรและเข้ากับงบประมาณที่มีจะช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น และมั่นใจว่าการลงทุนที่ทำไปนั้นคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ

การพิจารณาผู้จำหน่ายและแบรนด์

เลือกผู้จำหน่ายและแบรนด์ที่มีชื่อเสียง

การเลือก Firewall จากผู้จำหน่ายและแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับมักจะมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา นอกจากนี้ ผู้จำหน่ายที่มีชื่อเสียงมักจะมีบริการหลังการขายและการสนับสนุนทางเทคนิคที่ดี เพื่อช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาและดูแลรักษา Firewall ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6 อันดับ Firewall ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในยุคดิจิทัล

การเลือกซื้อ Sophos Firewall

การติดตั้งและการบำรุงรักษา

คำแนะนำในการติดตั้งและการบำรุงรักษา

การติดตั้ง Firewall อย่างถูกวิธีเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบป้องกันของคุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรทำการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญหรือตามคู่มือที่มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย การบำรุงรักษาเป็นประจำเช่นการอัปเดตซอฟต์แวร์และตรวจสอบสถานะการทำงานของ Firewall เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย นอกจากนี้ การทำความเข้าใจกับแผงควบคุมและการตั้งค่าต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

การเลือกซื้อ Firewall เป็นการลงทุนที่สำคัญในการป้องกันข้อมูลและเครือข่ายของคุณ ด้วยการพิจารณาตามข้อแนะนำข้างต้น คุณจะสามารถเลือก Firewall ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณได้อย่างมั่นใจ

หรือหากคุณต้องการบริการผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Firewall ที่ดูแลคุณแบบครบวงจร จ่ายเป็นรายเดือน และไม่ต้องการซื้อกล่อง แนะนำบริการจาก Firewall as a Service จาก Prospace เลยครับ

Firewall as a Service

ช่วยออกแบบความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล​

  • Firewall subscription model
  • พร้อมพนักงานบริหารจัดการระบบหลังบ้าน
  • มีการตั้งค่า configuration ตามนโยบายบริษัท
  • มีที่ปรึกษาดูแลระบบตลอดอายุสัญญา

ปรึกษาการทำ Cyber Security

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้

6 อันดับ Firewall ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในยุคดิจิทัล

Firewall ดีที่สุด

6 อันดับ Firewall ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในยุคดิจิทัล

ในยุคที่ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด Firewall (ไฟล์วอลล์)  กลายเป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถมองข้ามได้เพื่อปกป้องข้อมูลและระบบเครือข่ายจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ Prospace เราเข้าใจถึงความสำคัญนี้และต้องการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับ Firewall ที่เราคิดว่าดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน 

มาดูกันว่า 6 อันดับ Firewall ดีที่สุดมีอะไรกันบ้าง

1. Cisco ASA Firewall

  • คุณสมบัติเด่น: Cisco ASA มีความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามแบบทันทีและมีการบริการที่หลากหลาย เช่น การตั้งค่า VPN, การป้องกันการบุกรุก, และการควบคุมการเข้าถึง
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูงและมีการใช้งานเครือข่ายที่ซับซ้อน

2. Palo Alto Networks Firewall

  • คุณสมบัติเด่น: Palo Alto Network Firewall  นำเสนอความสามารถในการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการป้องกันการบุกรุกด้วยเทคโนโลยี AI
  • เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยเชิงรุกและการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

3. Fortinet FortiGate

  • คุณสมบัติเด่น: Fortinet FortiGate Firewall ประสิทธิภาพการป้องกันที่รวดเร็วและมีประสิทธิผล รวมถึงการบูรณาการกับระบบคลาวด์
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่มีความต้องการความปลอดภัยที่เชื่อถือได้โดยไม่กระทบกับประสิทธิภาพ

4. Checkpoint Firewall

  • คุณสมบัติเด่น: Checkpoint Firewall มีระบบการจัดการที่ใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้ พร้อมทั้งการบูรณาการกับระบบคลาวด์
  • เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่ต้องการความสมดุลระหว่างความปลอดภัยและความสะดวกในการจัดการ

5. Sophos Firewall

  • คุณสมบัติเด่น: Sophos Firewall มีความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามแบบอัจฉริยะและการจัดการที่ง่าย
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการการป้องกันที่ครอบคลุมและการจัดการที่ไม่ซับซ้อน
  • การเลือกซื้อ Sophos Firewall

6. WatchGuard Firebox

  • คุณสมบัติเด่น: WatchGuard Firewall มีความสามารถในการป้องกันการบุกรุก, การจัดการเน็ตเวิร์คที่ยืดหยุ่น และโซลูชันที่เหมาะสมกับทุกขนาดของธุรกิจ
  • เหมาะสำหรับ: ทั้งธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยแบบเข้มข้นและการตั้งค่าที่ง่ายดาย

ทั้งหมดนี้ คือ 6 Firewall ดีที่สุด ที่เราคัดเลือกมา อย่างไรก็ตามการเลือก Firewall ที่เหมาะสมสำหรับองค์กรของคุณคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันข้อมูลและระบบเครือข่ายจากภัยคุกคามในยุคดิจิทัลนี้ ที่ Prospace  เรามุ่งมั่นที่จะให้คำแนะนำและโซลูชันที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยของคุณ

การเลือกซื้อ Firewall สำหรับมือใหม่

Firewall as a Service

ช่วยออกแบบความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล​

  • Firewall subscription model
  • พร้อมพนักงานบริหารจัดการระบบหลังบ้าน
  • มีการตั้งค่า configuration ตามนโยบายบริษัท
  • มีที่ปรึกษาดูแลระบบตลอดอายุสัญญา

ปรึกษาการทำ Cyber Security

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้

บริษัทจัดการด้านการแพทย์ของสหรัฐถูกปรับเงิน 1 แสนดอลลาร์ หลังถูกโจมตีด้วย Ransomware

บริษัทการแพทย์สหรัฐถูกปรับ $100,000 หลังถูก Ransomware โจมตี

 

บริษัทและธุรกิจทางการแพทย์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ควรใส่ใจในเรื่องของการป้องกันภัยไซเบอร์อย่างมาก เพราะต้อจัดการและคุ้มครองข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้บริการอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นแล้วข้อมูลสุขภาพอาจถูกละเมิดได้ เรามาสำรวจเหตุการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี Ransomware ที่ทำให้บริษัทการแพทย์สหรัฐต้องจ่ายค่าปรับมูลค่า $100,000 และผลกระทบที่เกิดขึ้น

IMAGE: SARAH STIERCH VIA WIKIMEDIA COMMONS

รายละเอียดเหตุการณ์

  • ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018  บริษัทการแพทย์สหรัฐ (Doctors’ Management Services หรือ DMS) ถูกโจมตีโดยกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อ GandCrab  การโจมตีนี้ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคลด้านสุขภาพจำนวน 206,695 รายที่เกี่ยวข้องกับ DMS หลุดและมีความเสี่ยงถูกละเมิด
  • การโจมตีเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2017 แต่ด้วยความล้มเหลวในการตรวจพบ จนไฟล์ของพวกเขาถูกเข้ารหัสด้วย Ransomware ชื่อ GandCrab 
  • จนกระทั่งเดือนธันวาคม 2018 การโจมตีนี้ถูกรายงานอย่างเป็นทางการ
  • ในปี 2019 กรมสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ (HHS) ได้เริ่มเข้ามาสอบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างละเอียด

การสอบสวนและข้อผิดพลาด

ในระหว่างการสอบสวน HHS ตรวจพบข้อผิดพลาดหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการความปลอดภัยไซเบอร์อันย่ำแย่ของ DMS โดยเฉพาะ

DMS ไม่ได้ดำเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงและช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้นกับข้อมูลส่วนบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์

ไม่มีการตรวจสอบระบบข้อมูลสุขภาพเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์

ไม่ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัย HIPAA อย่างเพียงพอ

Melanie Fontes Rainer ผู้อำนวยการของ OCR กล่าวว่า “ข้อตกลงของเราเน้นย้ำว่าการโจมตีของแรนซัมแวร์เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ และมุ่งเป้าไปที่ระบบการดูแลสุขภาพ สิ่งนี้ทำให้โรงพยาบาลและผู้ป่วยเสี่ยงต่อการถูกละเมิดข้อมูลและความปลอดภัย”

ค่าปรับและแผนปฏิบัติการแก้ไข

หลังจากการสอบสวน DMS ตกลงยอมจ่ายค่าปรับมูลค่า $100,000 และนำแผนปฏิบัติการแก้ไขเพื่อป้องกันความล้มเหลวด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในอนาคตมาใช้

แผนปฏิบัติการแก้ไขรวมถึงการทบทวนและอัปเดตขั้นตอนการวิเคราะห์ความเสี่ยง และการอัปเดตแผนการจัดการความเสี่ยงในวงกว้างสำหรับองค์กร

DMS ยังตกลงที่จะแก้ไขนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับกฎความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของ HIPAA อย่างดีขึ้น และฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับนโยบายของ HIPAA

ข้อควรระวังและการป้องกัน Ransomware ในอนาคต

หลังจากเหตุการณ์นี้ OCR ได้แนะนำให้องค์กรด้านการดูแลสุขภาพเคร่งครัดในการตรวจสอบเรื่องการโจมตีทางไซเบอร์ การ Multi-Factor Authentication (MFA) หรือ “การยืนยันตัวตนโดยใช้หลายปัจจัย”  และการดำเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นครั้งคราวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีกครั้ง

สรุป

การถูกโจมตีด้วย Ransomware เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในวงกว้างและส่งผลกระทบใหญ่หลวงทางด้านธุรกิจ ในเหตุการณ์นี้บริษัทด้านการแพทย์ตกเป็นเหยื่อ Ransomware จนทำให้ข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้บริการตกเป็นเหยื่ออีกทอด นี่จึงเป็นสิ่งที่ตระหนักย้ำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของป้องกันภัยทางไซเบอร์อย่างจริงจัง และเคร่งครัด จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ และป้องกัน ก่อนที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น

ข่าวอ้างอิง : therecord.media

ฟรี! ปรึกษาการวางระบบความปลอดภัยไซเบอร์ในองค์กร

Dark Web ภัยร้ายสำหรับองค์กร พร้อมวิธีรับมือความปลอดภัยเบื้องต้น

Dark Web ภัยร้ายสำหรับองค์กร พร้อมวิธีรับมือความปลอดภัยเบื้องต้น

Dark Web เป็นส่วนหนึ่งของอินเทอร์เน็ตที่เต็มไปด้วยความลับและความยากลำบากในการค้นหา ที่ถูกเข้ารหัสและซ่อนอยู่ และเน้นความปลอดภัยของผู้ใช้โดยใช้ระบบ Tor

แต่หากมองในมุมขององค์กร Dark Web มีการใช้งานที่ไม่พึงประสงค์จนสามารถสร้างผลร้ายต่อองค์กร ข้อมูลสำคัญและความปลอดภัยหลากหลายอย่างในพื้นที่หวงห้ามขององค์กรอาจถูกทำสำเนาและปรากฏบน Dark Web และกลายเป็นเป้าหมายให้ผู้ไม่หวังดีโจมตีหรือมุ่งร้าย

บทความนี้จะสำรวจความเสี่ยง Dark Web ภัยร้ายสำหรับองค์กรและแสดงถึงวิธีที่องค์กรสามารถป้องกันความปลอดภัยในโลกของ Dark Web

ความเสี่ยงบน Dark Web ภัยร้ายสำหรับองค์กร

1. การบุกรุกและการรั่วไหลของข้อมูล

การบุกรุกและการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญเป็นหนึ่งในภัยร้ายที่มากที่สุดขององค์กร ใน Dark Web ข้อมูลสำคัญเช่นข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลส่วนบุคคล, หรือความลับธุรกิจอาจถูกคนอื่นขโมยและรั่วไหลไปยังหลายแหล่งที่นำข้อมูลนี้ไปใช้ในวัตถุประสงค์ที่ไม่ดี

2. การขายข้อมูลในตลาดมืด

บน Dark Web ข้อมูลส่วนตัวของคนอื่นอาจถูกลักลอบขโมยมาขาย องค์กรจะต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลของตนเองเพื่อไม่ให้ข้อมูลนี้รั่วไหลออกไป เพราะอาจสร้างผลร้ายให้กับองค์กรไม่ว่าจะผิดกฎหมาย PDPA หรือลูกค้าหมดความไว้เนื้อเชื่อในองค์กรของคุณก็ตาม

3. การตรวจสอบความปลอดภัยของศูนย์เก็บข้อมูล (Data Center)

ศูนย์ข้อมูลและเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรอาจเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี ที่ต้องการปลดล็อคความปลอดภัยขององค์กร และนำข้อมูลไปเผยแพร่บน Dark Web โดยไม่สามารถติดตามตัวผู้กระทำผิด และผู้ไม่หวังดีได้

4. การปล่อยมัลแวร์และอุปกรณ์ควบคุมระบบองค์กร

มัลแวร์และอุปกรณ์ควบคุมอาจถูกนำมาใช้ในการบุกรุกหรือควบคุมระบบขององค์กร โดยการเผยแพร่อุปกรณ์ที่อาจทำให้คนอื่นควบคุมเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรได้ ซึ่งเป็นฝันร้ายของผู้ดูแลระบบขององค์กรอย่างยิ่งยวด

5. การค้าขายไม่พึงประสงค์เพื่อทำร้ายองค์กร

ข้อมูลที่มีมูลค่าในองค์กรอาจถูกตั้งขายใน Dark Web เช่น จ้างฝ่าฝืนความปลอดภัย บริการบุกรุกองค์กร x  หรือการเข้าถึงระบบภายในขององค์กร ซึ่งผู้ไม่หวังดีอาจจ้างเหล่านักเจาะระบบเพื่อมุ่งหวังร้ายในองค์กรใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งหวังว่าจะองค์กรของคุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อ

6. การสอบสวนและการตรวจค้น 

การสอบสวนและการตรวจค้นความปลอดภัยบน Dark Web มีความยากลำบาก นอกจากจะทดสอบระะบบความปลอดภัยขององค์กรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันผู้บุกรุกและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

การป้องกัน Darkweb ภัยร้ายสำหรับองค์กร เบื้องต้น

1. การใช้ระบบ Firewall

การใช้ระบบ Firewall ในองค์กรช่วยป้องกันการเข้าถึงไม่พึงประสงค์และความรุนแรงจาก Dark Web ได้

2. การเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล

การเข้ารหัสข้อมูลและใช้มาตรฐานความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญและความลับขององค์กร

3. การสอนพนักงาน

การสอนพนักงานเรื่องความปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยงจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงความเสี่ยงและการป้องกันในองค์กรได้

4. การตรวจสอบความปลอดภัยและการตอบสนอง

องค์กรควรตรวจสอบความปลอดภัยของตนอย่างสม่ำเสมอและมีการตอบสนองที่รวดเร็วเมื่อพบกับความเสี่ยงจาก Dark Web

5. การควบคุมการเข้าถึง

การควบคุมการเข้าถึงระบบขององค์กร เช่น การใช้ระบบยืนยันตัวตน การระบุสิทธิ์การเข้าถึง เป็นต้น จะช่วยลดความเสี่ยงจากการบุกรุกจาก Dark Web ได้ 

สรุป

Dark Web เป็นอีกโลกที่มีความซับซ้อนและเสี่ยงสูงสำหรับองค์กร  การรู้จักความเสี่ยงและการป้องกันความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่องค์กรควรมีในการรักษาข้อมูลและความลับของตนเองในโลกของ Dark Web การใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการบุกรุกและการรั่วไหลข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเชื่อมต่อของเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรกับเว็บไซต์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่อาจเป็นจุดบุกรุกหรือการโจมตี องค์กรควรรับมือกับ Dark Web ด้วยความระมัดระวังและความสำรวจในการเข้าถึงออนไลน์อยู่เสมอ เพื่อปกป้องความปลอดภัยจากภัยร้ายของ Dark Web

มอบส่วนลดราคาพิเศษสำหรับองค์กร จำนวนจำกัด

ป้องกันข้อมูลรั่วไหล

FWaaS ช่วยป้องกันการรั่วไหลข้อมูลจากภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้นจาก Darkweb โดยระบบ Firewall จะตรวจสอบและบล็อกการถ่ายโอนข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตไปยังพื้นที่ที่ไม่เชื่อถือ ที่อาจเป็นที่มาของข้อมูลที่รั่วไหลหรือถูกขโมย

ป้องกัน Brute Force Attack

FWaaS ช่วยป้องกันกาโจมตีจาก Darkweb โดยป้องกันคนที่พยายามเข้าถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้วิธีการลอบเข้ารหัสผ่านหรือพยายามทดลองรหัสผ่านอย่างเร็ว และมันป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้าถึงเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต

ป้องกันการโจมตีแบบ DDoS

FWaaS ช่วยป้องกันการโจมตี DDoS ที่อาจเกิดจาก Darkweb หรือกลุ่มผู้ไม่หวังดี โดยการกระจายการโจมตีจากหลายแหล่งพร้อมกัน บริการ FaaS จะทำการตรวจจับและป้องกันการโจมตี DDoS โดยปรับความสามารถในการรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่มากขึ้น

" สู้กับ Darkweb สู้ด้วย Firewall as a Service"

สนใจ รบกวนกรอกฟอร์ม

วิธีป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตีโดยไม่เสียเงินสักบาท

วิธีป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตีโดยไม่เสียเงินสักบาท

การป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตีเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย เนื่องจากการถูกโจมตีในระบบคอมพิวเตอร์สามารถสร้างผลกระทบร้ายแรงแก่ธุรกิจและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานได้ แต่หลายคนอาจคิดว่าการป้องกันการโจมตีนั้นต้องใช้งบประมาณมาก ในบทความนี้เราจะแนะนำถึงวิธีการป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตีโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท! มีอะไรบ้างไปดูกันได้เลยครับ 

ทำไมต้องป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตี

ผลกระทบทางการเงินของธุรกิจ

การป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตีเป็นเรื่องสำคัญเพราะมีผลกระทบต่อการเงินและธุรกิจขององค์กร ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ดังนี้

  • การขาดทุนและความเสียหายทางการเงิน: การถูกแฮกเกอร์โจมตีอาจทำให้ระบบการเงินขององค์กรถูกเข้าถึงและถูกล่วงละเมิดทรัพย์สิน อาจเกิดการโอนเงินผิดพลาดหรือการโจรกรรมเงินที่อาจทำให้เกิดความเสียหายทางการเงิน
  • การสูญเสียความไว้วางใจของลูกค้า: การถูกแฮกเกอร์โจมตีอาจทำให้ลูกค้าสูญเสียความไว้วางใจในองค์กร ลูกค้าอาจไม่ประสงค์ที่จะทำธุรกรรมกับองค์กรอีกต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือลดลงหรือสูญเสียลูกค้าคนสำคัญได้ ส่งผลทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

    Hacker thef

 

วิธีป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตีโดยไม่เสียเงินสักบาท

1. ปรับแต่งการตั้งค่าความปลอดภัยของระบบ

1.1 การอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ

การอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอยู่เสมอๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการโจมตี อัปเดตโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ อัปเดตวินโดว์ หรืออัปเดพ Mac Os อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการแก้ไขช่องโหว่และรักษาความปลอดภัยของระบบ

1.2 การตรวจสอบและปรับปรุงการตั้งค่าระบบเครือข่าย

การตรวจสอบการตั้งค่าระบบเครือข่ายเพื่อตรวจหาช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ในการโจมตีและการปรับปรุงการตั้งค่าการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายเพื่อลดความเสี่ยง เช่น ระบบรักษาความปลอดภัยทางเครือข่าย (Firewall) โดยต้องเลือกใช้ Firewall ที่เปิดให้ใช้ฟรี หรือมีกำหนดระยะเวลาทดลองใช้ อย่างไรก็ตามการใช้ระบบรักษาความปลอดภัยทางเครือข่าย (Firewall) แบบฟรี จะมีข้อจำกัดบางอย่างที่ไม่สามารถใช้งานได้

การตรวจสอบและปรับปรุงการตั้งค่าระบบเครือข่าย:

1.3 การใช้การตรวจจับการบุกรุกและระบบป้องกันการโจมตี

การติดตั้งและใช้งานระบบตรวจจับการบุกรุกช่วยในการตรวจหาและป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้น ระบบป้องกันการโจมตีช่วยลดโอกาสในการเจอกับการโจมตีที่มีความเสี่ยงสูง

  • การใช้ฟีเจอร์ตรวจจับการบุกรุกที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ: ระบบปฏิบัติการ (Operating System – OS) เช่น Windows, Linux, macOS มักจะมีฟีเจอร์ตรวจจับการบุกรุกที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการเหล่านี้ ซึ่งสามารถเปิดใช้งานและกำหนดค่าได้โดยไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 

รับเทคนิคความรู้ดีๆ เรื่อง "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

2. การสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง

2.1 การใช้รหัสผ่านยากๆ ที่จะถูกคาดเดา

การใช้รหัสผ่านที่ยากถูกคาดเดาคือหนึ่งในวิธีการที่สำคัญในการป้องกันบัญชีและข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจากการถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อสร้างรหัสผ่านที่เข้มแข็งต่อไปนี้:

  • ความยาว: รหัสผ่านควรมีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษรหรือมากกว่ายิ่งดี ยาวกว่าจะลดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีสามารถคาดเดารหัสผ่านได้ยากขึ้น
  • ความซับซ้อน: รหัสผ่านควรประกอบด้วยตัวอักษรตัวใหญ่และตัวเล็กพร้อมกับตัวเลขและอักขระพิเศษ เช่น A-Z, a-z, 0-9, และสัญลักษณ์พิเศษ เพื่อเพิ่มความยากในการคาดเดา
  • ไม่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคล: อย่าใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเช่นชื่อ, วันเกิด, หมายเลขโทรศัพท์ เป็นส่วนหนึ่งของรหัสผ่าน เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวอาจง่ายต่อการค้นหาหรือคาดเดาได้
  • ไม่ใช้คำพูดที่แพร่หลาย: เลือกใช้คำผสมคำศัพท์ที่ไม่สัมพันธ์กัน หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ได้รับความนิยมหรือที่ใช้กันแพร่หลาย เนื่องจากมีโปรแกรมที่ใช้ในการคาดเดารหัสผ่านที่ใช้คำพูดเหล่านั้น
  • รหัสผ่านไม่ซ้ำ: อย่าใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับบัญชีต่างๆ ที่คุณมี เนื่องจากหากบัญชีหนึ่งถูกเจาะจงเดารหัสผ่าน ผู้ไม่หวังดีอาจสามารถเข้าถึงบัญชีอื่นๆ ของคุณได้
  • การใช้ตัวช่วย: สามารถใช้ตัวช่วยเช่นการจดบันทึกรหัสผ่านที่ปลอดภัยหรือผู้จัดการรหัสผ่าน (password manager) เพื่อจัดเก็บและสร้างรหัสผ่านที่เข้มแข็งให้คุณ

การตรวจสอบและปรับปรุงการตั้งค่าระบบเครือข่าย:

2.2 การใช้การระบุตัวตนสองชั้น

การใช้การระบุตัวตนสองชั้น (Two-Factor Authentication, 2FA) เป็นวิธีหนึ่งในการเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงบัญชีและข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ โดยการระบุตัวตนสองชั้นนี้จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการยืนยันตัวตนอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากรหัสผ่านที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้ผู้ไม่หวังดีที่พยายามเข้าถึงบัญชีของคุณยากขึ้น ลักษณะหลักของการระบุตัวตนสองชั้นคือ:

  • การพิสูจน์ตัวตน (Authentication Code): เมื่อคุณเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่านที่ถูกต้อง ระบบจะส่งรหัสผ่านเพิ่มเติมไปยังอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับบัญชีของคุณ รหัสผ่านเพิ่มเติมนี้อาจเป็นรหัสผ่านที่เปลี่ยนไปทุกครั้ง (One-Time Password) หรือรหัสผ่านที่สร้างขึ้นโดยใช้ข้อมูลเฉพาะของคุณ  เพื่อให้คุณป้อนรหัสผ่านเหล่านี้เพื่อยืนยันตัวตน
  • อุปกรณ์ระบุตัวตน (Authentication Device): อุปกรณ์ระบุตัวตนเป็นอุปกรณ์ที่คุณครอบครองเพิ่มเติม เช่น สมาร์ทโฟน, โทรศัพท์มือถือ, หรืออุปกรณ์รหัสผ่านที่เฉพาะเจาะจง (เช่น USB รหัสผ่าน) โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกเชื่อมต่อกับบัญชีของคุณและเมื่อคุณพยายามเข้าสู่ระบบ คุณจะต้องยืนยันตัวตนอีกครั้งผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว เช่นการกดปุ่มยืนยันบนสมาร์ทโฟนหรือการเสียบ USB รหัสผ่าน

3. การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล

3.1 การตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูล

  • กำหนดสิทธิ์การเข้าถึง: กำหนดสิทธิ์ให้แต่ละผู้ใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลเฉพาะที่เป็นสิทธิ์ของพวกเขาเท่านั้น โดยกำหนดระดับการเข้าถึงตามบทบาทหรือระดับการอนุญาตที่เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคนในระบบ
  • การใช้ระบบการพิสูจน์ตัวตน: ใช้เทคโนโลยีการพิสูจน์ตัวตนเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาต โดยรวมถึงการใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและเครื่องมือการพิสูจน์ตัวตนเช่นการสแกนลายนิ้วมือหรือระบบตรวจจับใบหน้า
  • การตรวจสอบและบันทึกการเข้าถึง: ติดตั้งระบบตรวจสอบและบันทึกการเข้าถึงข้อมูลเพื่อตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมการเข้าถึงข้อมูลที่เกิดขึ้น เพื่อตรวจสอบว่ามีการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสมหรือขัดกฎหมายเกิดขึ้นหรือไม่

3.2 การสำรองข้อมูลเพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล

การสำรองข้อมูลในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ข้อมูลสามารถกู้คืนได้ในกรณีที่ถูกลบหรือสูญหายจากการโจมตี

  • การประเมินความสำคัญของข้อมูล: ประเมินและระบุข้อมูลที่สำคัญและจัดเรียงสำหรับการสำรองข้อมูล เน้นการสำรองข้อมูลที่มีผลกระทบสูงต่อธุรกิจหรือองค์กร เช่น ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลการเงิน และข้อมูลทางธุรกิจสำคัญอื่นๆ
  • การเลือกวิธีสำรองข้อมูล: เลือกวิธีสำรองข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กร เช่น การสำรองข้อมูลในระดับไฟล์ การสำรองข้อมูลในระดับฐานข้อมูล หรือการใช้บริการคลาวด์สำรองข้อมูล โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการกู้คืนข้อมูล
  • การทดสอบและยืนยันการสำรองข้อมูล: ทดสอบระบบการสำรองข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำรองสามารถกู้คืนและใช้งานได้ตามที่ต้องการ ประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ถูกสำรอง และทำการยืนยันว่ากระบวนการสำรองข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและเป็นประสิทธิภาพ

Back Up Data

4. การสร้างความตระหนักรู้การป้องกันการโจมตี

4.1 การฝึกอบรมพนักงาน

การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์และการสร้างความตระหนักในการป้องกันการโจมตีช่วยเพิ่มความรู้และความสามารถในการระบุและป้องกันการโจมตี ทำได้ดังนี้ 

  • การศึกษาและการอัพเดตข้อมูล: พนักงานควรมีการศึกษาและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทรนด์และวิธีการโจมตีที่เกิดขึ้นในสายงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการติดตามแนวคิดใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่สามารถใช้ในการป้องกันการโจมตี
  • การอบรมและการสัมมนา: จัดการอบรมและการสัมมนาเพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าใจในเรื่องการป้องกันการโจมตี รวมถึงการเรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการตรวจสอบและป้องกันอันตรายจากการถุกแฮกเกอร์โจมตี
  • การทดลองและการฝึกสายงาน: การจัดทำและฝึกโปรแกรมการป้องกันการโจมตีเพื่อให้พนักงานมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงได้ เช่น ลองส่งอีเมล์ฟิชชิ่ง เข้าไปในเมลบริษัท แล้วดูว่าจะมีพนักงานจำนวนกี่คนที่หลงเชื่อบ้าง
  • การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย: การสร้างและส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร เช่น การสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องความสำคัญของการป้องกันการโจมตี การเสริมสร้างนโยบายและกระบวนการที่เน้นความปลอดภัย และการส่งเสริมพฤติกรรมที่เพิ่มความตระหนักรู้และการปฏิบัติตามนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย

it training

4.2 การตรวจสอบและปรับปรุงระบบตลอดเวลา

การตรวจสอบและปรับปรุงระบบตลอดเวลาเป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบที่ใช้ในองค์กรหรือธุรกิจ โดยทำการตรวจสอบและปรับปรุงเป็นรอบๆ เพื่อดูแลและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงพัฒนาความสามารถใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ลักษณะหลักของการตรวจสอบและปรับปรุงระบบตลอดเวลาได้แก่:

  • การตรวจสอบความปลอดภัย: ตรวจสอบระบบเพื่อตรวจหาช่องโหว่ทางความปลอดภัยและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การตรวจสอบการใช้งานรหัสผ่าน การตรวจสอบระบบการรับรองตัวตน การตรวจสอบการสำรองข้อมูล และการป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพ: ตรวจสอบและปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เช่น การปรับแต่งการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง การปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน
  • การอัพเกรดและการแก้ไข: ตรวจสอบและอัพเกรดระบบเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการและมาตรฐานใหม่ นอกจากนี้ จะมีการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่พบเจอในระบบเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างต่อเนื่องและเสถียร
  • การอัพเดตและการปรับปรุง: ติดตามและนำเข้าการอัพเดตและการปรับปรุงจากผู้ผลิตซอฟต์แวร์หรือผู้ให้บริการ เพื่อให้ระบบมีการดูแลและใช้งานล่าสุด และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
  • การวิเคราะห์และการติดตาม: การวิเคราะห์ผลการใช้งานระบบเพื่อตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นและวิเคราะห์แนวโน้มการใช้งาน เพื่อให้สามารถปรับปรุงและปรับแก้ไขได้อย่างตรงจุด

การโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โดยทั่วไปแล้ว การป้องกันการถูกแฮกเกอร์โจมตีทำได้โดยไม่เสียเงินสักบาท แต่ต้องใช้เวลาและความรับผิดชอบสูงในการดูแลและปรับปรุงความปลอดภัยของระบบอย่างต่อเนื่อง

สมัครรับข่าวสาร "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

เคล็ดลับป้องกันไวรัสง่ายๆ สำหรับธุรกิจ SME

เคล็ดลับป้องกันไวรัสง่ายๆ สำหรับธุรกิจ SME

การ “ป้องกันไวรัส” เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ SME (Small and Medium-sized Enterprises) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทั่วโลก ธุรกิจ SME มีความสำคัญเพราะเป็นเป้าหมายของผู้ไม่ประสงค์ดีที่จะโจมตีและเข้าถึงข้อมูลทางธุรกิจเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือเพื่อก่อกวนกิจการทางธุรกิจ 

ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยทางไอทีและการป้องกันไวรัสเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ SME เพื่อปกป้องข้อมูลที่สำคัญและธุรกิจของพวกเขา

เคล็ดลับในการป้องกันไวรัสสำหรับธุรกิจ SME

เพื่อช่วยให้ธุรกิจ SME ป้องกันไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพและปกป้องความเชื่อถือของลูกค้า นี่คือเคล็ดลับที่สำคัญสำหรับธุรกิจ SME เพื่อป้องกันไวรัสจากการรุกรานจากผู้ไม่ประสงค์ดี

1. อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการเป็นประจำ

การอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันไวรัส เนื่องจากผู้ไม่ประสงค์ดีอาจใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์เพื่อเข้าถึงระบบของธุรกิจ SME ดังนั้น แนะนำให้ธุรกิจมีการอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการถูกไวรัสเข้ามาเล่นงาน

2. เลือกใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีคุณภาพสูงและน่าเชื่อถือ

การเลือกโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ SME เป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจควรเลือกใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่อตรวจสอบและกำจัดไวรัสที่อาจเข้ามาสู่ระบบของธุรกิจ และต้องมั่นใจว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสมีอัพเดตซอฟท์แวร์ให้ใหม่อยู่ตลอดเวลา

รับเทคนิคความรู้ดีๆ เรื่อง "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

3. ติดตั้งและอัปเดตไฟร์วอลล์ (Firewall)

การติดตั้งและอัปเดตไฟร์วอลล์ (Firewall) เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ระบบของธุรกิจ SME โดยจะคัดกรองและควบคุมการเข้าถึงที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย การติดตั้งไฟร์วอลล์ที่เหมาะสมและอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไวรัส

 ติดตั้งและอัปเดตไฟร์วอลล์

4. สอนพนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย

การสอนพนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไอที เป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันไวรัส พนักงานควรรับรู้ถึงความสำคัญของการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า รวมถึงการตรวจสอบและไม่เปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้แก่บุคคลภายนอก นอกจากนี้ พนักงานควรรับรู้ถึงความสำคัญของการตรวจสอบอีเมลและหลีกเลี่ยงการเปิดแนบไฟล์ที่มีความเสี่ยง

5. สำรวจและบริหารจัดการกับความเสี่ยง

ธุรกิจ SME ควรทำการสำรวจและบริหารจัดการกับความเสี่ยงที่เป็นไปได้จากการรุกรานทางไอที โดยการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและวางแผนการจัดการกับความเสี่ยงนั้นๆ เช่น การสำรวจระบบเครือข่ายและการตรวจสอบการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต และตั้งงบจำเป็นเพื่อซื้อโปรแกรมป้องกันไวรัสหรือ Firewall ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

สำรวจและบริหารจัดการกับความเสี่ยง

6. สำรวจและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอ

การสำรวจและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไวรัส ธุรกิจ SME ควรใช้โปรแกรมตรวจสอบไวรัสอัตโนมัติหรือเครื่องมือการสแกนเพื่อตรวจสอบไฟล์และอีเมลที่อาจมีไวรัส รวมถึงการดำเนินการกำจัดไวรัสที่พบอย่างรวดเร็วและเร่งด่วน

สรุป

การป้องกันไวรัสสำหรับธุรกิจ SME เป็นสิ่งสำคัญเพื่อปกป้องข้อมูลทางธุรกิจและสิทธิบัตรธุรกิจจากผู้ไม่ประสงค์ดี ธุรกิจควรอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ เลือกใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ติดตั้งและอัปเดตไฟร์วอลล์ (Firewall) เพื่อควบคุมการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต และสอนพนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไอที สำรวจและบริหารจัดการกับความเสี่ยง เพื่อสำรวจและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอ

สมัครรับข่าวสาร "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

อายุ Firewall ใช้ได้กี่ปี ควรซื้อ เช่า หรือ ให้ทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล

อายุ Firewall

อุปกรณ์ Firewall เป็นเครื่องที่ช่วยกรองข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก่อนเข้าสู่เครื่องเครือข่ายในบริษัท โดยเป็นตัวกลางที่จัดการ filter ข้อมูลตามที่มีการตั้งค่าไว้ ทำให้ อายุ Firewall นั้นจะถูกจำกัดด้วยปริมาณการกรองข้อมูล ซอฟแวร์ที่เอามาใช้ร่วมกัน รวมถึงระยะเวลาที่เจ้าของผลิตภัณฑ์จะซัพพอร์ตก่า

อายุ Firewall ใหม่ – เก่า

เครื่องไฟร์วอลล์เป็นเสมือนรั้วของรั้วบ้าน ที่ช่วยป้องกันคนภายนอกที่ไม่มีกุญแจ ไม่สามารถเข้าบ้านได้ โดยที่ในความจริงในการปลอมตัวเข้าบ้านได้อย่างแนบเนียน มีวิธีการที่มากมายหลากหลาย ทั้งการปั๊มกุญแจปลอม การปิดหน้าปิดตา และวิธีการมากมายหลายอย่าง ฉะนั้นเราจึงเกิดคำถามว่า Firewall ที่เราได้ใช้อยู่ในทุกวันนี้ มันดีพอที่จะแยกแยะความเนียนของขโมยได้หรือเปล่านั้นเอง

อายุ firewall maintainance
อุปกรณ์ประกอบของ firewall เป็นการติดตั้งอุปกรณ์ให้ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม

คุณสมบัติของอุปกรณ์

ถ้าเปรียบเทียบอุปกรณ์ Firewall เหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ใช้มาตั้งแต่ 10 ปีก่อน จริงอยู่ว่าเมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบันมันใช้งานได้ดีอยู่ก็จริง แต่การใช้งานในชีวิตประจำวันเริ่มไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้ว เช่น เปิดเครื่องแล้วกว่าจะเข้า windows ก็ช้า การเปิดวีดีโอออนไลน์บน Youtube ก็เริ่มกระตุก หรือเปิดโปรแกรมหลายๆตัวพร้อมกันก็เริ่มใช้งานไม่ได้ เป็นต้น

พอย้อนกลับมาที่ระบบ Firewall ที่ใช้งานมานาน ระยะเวลาในการรับประกันอุปกรณ์ อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสจะขึ้นอยู่กับแบรนด์ที่เลือกใช้ ซึ่งหลังจากมีการประกาศหยุดการซัพพอร์ตอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ จะไม่ได้รับการอัปเดตและครอบคลุมความเสี่ยงที่ทำให้ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในเคสใหม่ๆได้ โดยการใช้งานก็ยังคงใช้ได้ เพียงแต่จะเปรียบเสมือนป้อมยามที่น่าเกรงขาม แต่ไม่มีใครประจำการก็คงไม่ผิด

อายุ firewall filtration
การกรองข้อมูลที่เข้า network เป็นการกรองข้อมูลด้วยเงื่อนไขที่กำหนด โดยกักเก็บข้อมูลที่อันตรายไว้ใน log record ตามกฏหมาย
  • กรองข้อมูล

    พื้นฐานของไฟร์วอลล์เป็นการใช้ตระแกรงร่อนให้กับสัญญาณเครือข่าย โดยจะทำหน้าที่อนุญาตหรือปิดกั้นโดยรองรับการคัดกรองข้อมูลที่หลากหลานไม่ว่าจะเป็นการส่งผ่านข้อมูลในระดับเครือข่ายระดับโปรแกรมแอพพลิเคชั่น

  • จัดการ Config พื้นฐานได้

    การใช้งาน ติดตั้งหลังบ้านของอุปกรณ์ต้องแน่ใจว่าระบบนั้นมีการเปิดพร้อมสำหรับฟีเจอร์ที่จำเป็นสำหรับการใช้งาน โดยสอดคล้องกับความต้องการของบริษัท

    เก็บ log

    เช็คการเข้าใช้งาน เก็บข้อมูลของผู้เข้าใช้งาน (เก็บ log) แล้วทดสอบความผิดพลาดในการใช้งาน เพื่อหาสาเหตุของความไม่สมบูรณ์ของระบบ

    ทดสอบอุปกรณ์ใน Network

    ทดสอบอุปกรณ์ที่ใช้ Network ของอุปกรณ์ในเครือข่าย เช่น Router , Switch hub เพื่อไปดูว่าการตั้งค่าของอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ไปปิดกั้นการทำงานของ Firewall
    firewall factor and function

รับเทคนิคความรู้ดีๆ เรื่อง "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

ปัจจัยที่ต้องรู้ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว

เป็นที่ถกเถียงของผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber security อย่างหลากหลายว่าช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับการเปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่ถ้ามองถึงสถิติของการเกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทั้งการถูกขโมยข้อมูลทางธนาคาร การขโมยข้อมูลรหัสผ่าน การแทรกซึมเพื่อเข้าไปเอาข้อมูลสำคัญ เราเลยขอสรุปมาให้ว่าสิ่งที่ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้ว

  • อายุอุปกรณ์และความเสี่ยง

    ปัจจัยด้านอายุของอุปกรณ์โดยทั่วไปแล้วอาจจะคำนวนค่าเสื่อมราคาคล้ายกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆมีระยะเวลาอยู่ระหว่าง 3-5 ปี (ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตและรุ่นของอุปกรณ์) เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด อุปกรณ์เองจะไม่ได้รับการอัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป แนวทางในการพิจารณาเลือกอุปกรณ์ใหม่นั้นอาจจะใช้วิธีการเลือกรุ่นที่คล้ายกัน มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในการมาวางทับอุปกรณ์ตัวเดิม ซึ่งจะเป็นประโยชน์และประหยัดที่สุดในทางเลือกในการซื้อทั้งหมด ถ้าหากมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมใน Configuration , Implementation และ Mantainance ageement (ต่อ MA) เป็นต้น
    firewall become outdate

  • การดูแลอัปเดตแพท

    การได้รับการดูแลฐานข้อมูลความปลอดภัยจากผู้ให้บริการ (เจ้าของผลิตภัณฑ์) มีระยะเวลาที่กำหนด โดยถ้าหากเปรียบเทียบอุปกรณ์สมาร์ทโฟนในระยะแรกของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาจะมีการอัปเดตเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความเสถียรเพียงพอสำหรับการทำให้ระบบมีความนิ่ง แก้ปัญหาเสียงเบา เสียงดัง ไม่แจ้งเตือน แบตไหล เลยจะมีการอัปเดตฟังก์ชั่นพื้นฐานจนเริ่มเข้าที่ จากนั้นการอัปเดตต่อมาคือรุ่นของระบบปฏิบัติการ และความปลอดภัย โดยในการซื้อขาดอย่างสมาร์ทโฟนนั้นอาจจะได้รับการดูแลระบบความปลอดภัยประมาณ 2-3 ปีขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ โดยในอุปกรณืไฟร์วอลล์ที่มีการจ่ายค่า MA (ที่เป็นค่าอัปเดตความปลอดภัยและฟีเจอร์) ก็จะมีระยะเวลาอนุญาตให้ต่อสัญญาที่ใกล้เคียงกับอุปกรณ์ไอทีทั่วไป

  • การตั้งค่าเครือข่ายภายใน

    การจัดการกับระบบเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดและต้องการความปลอดภัยและถูกต้อง โดยเมื่อระยะเวลาหนึ่งนอกจากคอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์ต่างๆนั้นเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงพฤติกรรมและความจำเพาะเจาะจงของโปรแกรมก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่จำเป็นต้องพิจารณา เช่น การกรองข้อมูลระดับแอพพลิเคชั่น ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่งถูกเพิ่มเติมเข้ามาในระยะเวลาไม่นานมานี้ ดังนั้น การพิจารณาการอัปเกรดอุปกรณ์ใหม่ ควรจำคำนึงถึงพฤติกรรมการใช้งานด้วยเช่นเดียวกัน

ให้ผู้เชี่ยวชาญดูแล อายุ Firewall ของบริษัท

ระบบ Firewall ที่ไม่ตกรุ่น เป็นเสมือนการได้ผู้รักษาความปลอดภัยที่แข็งแรงและไหวพริบดี โดยมีผู้ทดสอบไหวพริบ และเรียนรู้ทักษะใหม่ตลอดเวลา การเตรียมระบบความปลอดภัยที่มีเสถียรภาพ อาจจะไม่ใช้ระบบที่ซับซ้อนเข้าใจยาก แต่เป็นการใช้ระบบที่มีความเข้าใจได้ แต่มีการตั้งค่าที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม มีการจัดการสัญญา MA และเปลี่ยนอุปกรณ์เมื่อไม่ได้รับการซัพพอร์ตและสามารถแก้ปัญหาในแต่ละเคสได้อย่างผู้มีประสบการณ์จึงเกิดเป็นบริการ Firewall as a Service ของ Prospace เป็นตัวช่วยในการออกแบบระบบ Firewall ติดตั้งอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ และเซอร์วิสตลอดอายุการใช้งาน สามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบริการของเรา โดยกรอกข้อมูลแบบฟอร์มด้านล่างนี้ แล้วทางทีมผู้เชี่ยวชาญจะเข้าไปช่วยเหลือคุณ

สมัครรับข่าวสาร "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

office wifi

Firewall as a Service

ระบบความปลอดภัยไอที พร้อมผู้เชี่ยวชาญดูแล พร้อมจัดการปัญหาด้านการใช้งาน ปรับปรุง Network ขององค์กร สอดคล้องตามหลัก PDPA พร้อมเก็บ Log ตามกฏมาย

  • ฟรีอุปกรณ์ Firewall BOX ที่ไซต์
  • ฟรีต่อ MA ตามสัญญา
  • ฟรีอัปเกรดอุปกรณ์ตกรุ่น

ปรึกษาระบบไอที

กรอกแบบฟอร์มเพื่อให้เราติดต่อกลับ

5 ฟีเจอร์หลักที่ Firewall as a Service ช่วยบริษัท SMEs ที่ไม่มีไอทีได้

5 ฟีเจอร์ firewall as a service

5 ฟีเจอร์ ทำระบบความปลอดภัยไอทีในบริษัท ที่ไม่มีไอที โดยทั่วไปเคยสงสัยไหมว่า อินเตอร์เน็ตบริษัท ที่เสียบเข้าเครื่องนั้นมีความผิดปกติหรือเปล่า อย่างเช่น การมีแจ้งเตือนแปลกๆจากบราวเซอร์ การมีหน้าต่างลอยขึ้นมาระหว่างใช้คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงการได้รับเมลปลอมมาหลอกเป็นประจำ เน็ตหลุดไม่รู้สาเหตุ โดยทั่วไปปัญหาเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการติดไวรัส การติดตั้งบางโปรแกรมที่พ่วงโปรแกรมอื่นเข้ามา หรือแม้กระทั่งการได้รับการมาเยือนจากผู้เยี่ยมชมที่ไม่ได้รับเชิญมาแฝงกายในระบบ โดยที่ระบบความปลอดภัยไม่สามารถตรวจพบเจอ การจำกัดความปลอดภัยทำได้ยากลำบาก ไม่มีผู้ที่พอจะแก้ไขได้ในออฟฟิศ นี่จะเป็น 5 สิ่งที่ทำให้ระบบไอทีบริษัทกลับมาถูกจัดระเบียบได้ ฉบับไม่มีไอทีประจำ ไม่มีคนที่รู้ดูแลระบบ

จัดระเบียบระบบไอทีบริษัทยังไง (สัญญาว่าจะเขียนให้คนไม่รู้ไอทีเข้าใจ)

อัปเดต Windows , MacOS ให้ใหม่ล่าสุด

สิ่งที่ง่ายและทำได้ทันทีในวินาทีแรกคือการกดอัปเดตระบบให้มีความปลอดภัยสูงสุด เพราะทุกการอัปเดตนอกจากมันเป็นการปรับปรุงเวอร์ชั่นของโปรแกรมแล้ว ยังปิดจุดบอด bug ที่ถูกเข้ามาทะลุทะลวงได้แล้ว (ในเครื่องของคนอื่นสักที่บนโลกนี้) เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าของโปรแกรมต้องรีบแก้จุดดังกล่าวเพื่อไม่ให้ลูกค้าได้รับผลกระทบกับการใช้งาน ดังนั้นถ้าหากไม่ได้มีการอัประบบให้ทันสมัยใหม่ล่าสุดถอดด้ามตลอดเวลา มันก็จะทำให้เป็นเหยื่อได้นั่นเอง ในกรณีที่ใช้ Windows เก่าๆนั้นสิ่งที่ต้องแบกรับคือ Microsoft ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ก็ไม่ช่วยแก้ช่องโหว่อีกต่อไป หมายถึงหลังจากนั้นถ้ามีคนเจาะระบบสำเร็จแล้ว จะไม่มีการอุดรอยรั้วให้อีกต่อไป ถ้าหากสามารถอัปเกรด (ซึ่งตอนหลังอัปเกรดรุ่นฟรี) ก็ควรจะทำ หรือถ้ากรณีที่ไม่มั่นใจว่าจะทำให้ระบบที่ใช้งานอื่นๆมันใช้ร่วมกันได้หรือเปล่า เราขอแนะนำให้ลองพูดคุยกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ หรือ ทดลองเปลี่ยนบางเครื่อง เพื่อดูว่ามันไม่เจ๊งแน่นะวิ !?!
อัปเกรด ฟีเจอร์ ความปลอดภัยของระบบ OS

ตั้งรหัสผ่านใหม่ให้ปลอดภัยสูง

ตอนนี้หลายโปรแกรม หลายแอพพลิเคชั่นนั้นจะบังคับให้เปลี่ยนรหัสผ่านใหม่เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง การตั้งรหัสผ่านที่ผสมกันทั้งตัวเลขและอักษร รวมถึงการยืนยันตัวตนอีกชั้นด้วยรหัส OTP หรือ แสกนนิ้วที่เรียกว่า Two factor authentication โดยถ้าใช้งานในโปรแกรมหลักอยู่แล้วก็จะมีการบังคับให้เปิดระบบนี้เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงขึ้น ในกรณีที่เป็นโปรแกรมภายในที่ทำขึ้นมาใช้เอง ถ้าหากพิจารณาในการเพิ่มฟีเจอร์กรอกรหัสผ่านสองชั้นได้ ก็จะช่วยให้ปราการของบริษัทได้รับการดูแล

ไฟล์อะไรลับ ละเอียดอ่อน ก็ใส่ ฟีเจอร์ ตั้งรหัสผ่านไว้

การเข้ารหัสไฟล์เฉพาะที่สำคัญสำหรับออฟฟิศในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว อาจจะสามารถทำได้ตามวิธีการนี้ Windows 10 ขึ้นไป / MacOS Ventura 13 แต่ในกรณีที่ใช้ไฟล์ร่วมกันทั้งบริษัท ไม่ว่าจะผ่านเครื่อง Server หรือ NAS โดยสามารถกำหนดได้ว่า โฟลเดอร์นี้ใครจะมองเห็นได้บ้าง ใครมีสิทธิ์เปิดไฟล์นี้ได้บ้าง รวมถึงการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอนก็จะช่วยให้ไฟล์นั้นถูกจัดระเบียบได้
ฟีเจอร์ ป้องกันข้อมูลสูญหาย ก่อนจะสายไป data prevention

Firewall ต้องเข้าแล้วล้ะ (ป้อมยามของไอที)

ถ้าการใช้เน็ตบ้านมาติด ก็จะมีอุปกรณ์พ่วงเข้ามาประเภท เร้าเตอร์ ต่อสายแลนเข้าเครื่องคอมพ์โดยตรงเลย แต่ในออฟฟิศที่มีความซับซ้อนกว่าคอมพิวเตอร์ไม่กี่เครื่อง จำเป็นต้องมีเครื่องกรองข้อมูลให้คนที่ไม่ใช่ออกไป

  • กรองข้อมูล
  • บลอคเว็บ
  • บลอคโหลดไฟล์แปลก
  • ส่องคนใช้งานไม่พึงประสงค์

สำรองข้อมูล ไม่มีก็ต้องทำ

โดยทั่วไปแล้วทุกบริษัทมีการเก็บข้อมูลไว้ส่วนกลาง (ในกรณีที่มีอุปกรณ์ Server ของตัวเอง) ทำให้การเก็บข้อมูลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการขาย ข้อมูลทางบัญชี ข้อมูลพนักงานต่างๆ ถึงแม้ว่ามีการกำหนดบทบาทของผู้ใช้งานให้ใครเข้าถึงข้อมูลส่วนไหน แต่ในกรณีที่มีการยกเค้าเครื่อง ขโมยข้อมูลไปทั้งฮาร์ดดิสก์ ติดไวรัสแรนซัมแวร์อย่างไรก็ตาม การเตรียมพื้นที่สำรองข้อมูลที่ปลอดภัยไว้อีกชุดในอีกสถานที่หนึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆๆ ถ้าหากไม่มีการทำ mirroring (ก้อบปี้ไฟล์ไว้อีกลูกฮาร์ดดิสก์) หรือ Backup ไว้บน Cloud ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

สอนคนในบริษัทให้เข้าใจพื้นฐานการถูกหลอกลวง

การเทรนให้กับพนักงานก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่อาจจะถูกหลอกลวง การดูชื่ออีเมลที่ถูกปลอมขึ้นมา การหลอกให้ทำอะไรบางอย่างจากผู้ที่เหมือนจะรู้จัก สิ่งเหล่านี้สามารถอบรมทีมงาน รวมถึงทดสอบความเข้าใจของพนักงานได้ สามารถหาคอร์สเพื่ออบรมทีมงานได้จากที่นี่
ฟีเจอร์ สามัญประจำออฟฟิศ 5 firewall features

5 ฟีเจอร์ ที่เป็นสกิลสามัญประจำบ้านของทุกบริษัท

  1. ตั้งกฏเหล็ก ( ฟีเจอร์ ที่เห็นผลได้เร็วสุด)

    การตั้งกฏเกณฑ์การใช้งานระบบก็เหมือนกับการตั้งกฏของพนักงานในบริษัทในการเข้างาน ลามาสายเท่าไหร่ เพียงแต่กฏเกณฑ์ดังกล่าวนั้นจะแตกต่างออกไปในส่วนของเน็ตเวิร์ค การใช้คอมพิวเตอร์บริษัท การใช้อินเตอร์เน็ตบริษัทเท่านั้น

    • กฏของพนักงาน

      การใช้งานอินเตอร์เน็ตในเคสของบริษัทที่ไม่ต้องการให้พนักงานเข้าไปเล่นโซเชี่ยลมีเดียในเวลางาน ก็อาจจะจำกัดการใช้งาน การไม่ให้เข้าบางเว็บไซต์ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายการทำงานของบริษัทเองเช่นเดียวกัน

    • กฏของทางเทคนิค

      เป็นขั้นตอนที่ใช้โปรแกรมในการตรวจสอบพฤติกรรมการผิดปกติการใช้งาน อย่างเช่น (เหตุการณ์สมมติ) พนักงานจำเป็นต้องใช้ Google chrome ทำงานเป็นปกติ แต่อยู่ๆมีโปรแกรมอ่านไฟล์ PDF แอบเชื่อมต่อกับเว็บบางเว็บโดยไม่ได้อนุญาตพร้อมกับส่งข้อมูลออกไปตลอดเวลา พฤติกรรมการใช้งานที่แปลกและไม่พึงประสงค์เหล่านี้จะถูกอุปกรณ์ Firewall ตรวจจับได้ถ้าหากมีการเซ็ตระบบให้เป็นไปตามระบบความปลอดภัยพื้นฐานได้
      data structure

  2. จำกัดสิทธิการเข้าถึงข้อมูล 

    การกำหนดบทบาทของผู้ดูแลข้อมูล ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลบางส่วนได้ โดยการแยกหน้าที่อย่างชัดเจนนี่เองจะทำให้ข้อมูลนั้นมีผู้รับผิดชอบ สามารถรู้ได้ว่าในกรณีที่ถูกโจรกรรมข้อมูล ติดไวรัส หรือติดตั้งโปรแกรมไม่พึงประสงค์เข้ามาในเครื่องนั้นเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด ใช้เวลาในการจัดการกับปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

  3. กรองข้อมูลอินเตอร์เน็ต คัดคนไม่ใช่ออกไป

    คุณสมบัติหนึ่งของ Firewall (ถ้าติดตั้งและดูแลอย่างถูกต้อง) จะทำหน้าที่กรองข้อมูลและจัดการกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่างเหมาะสม โดยการทำงานนั้นจะตรวจสอบตั้งแต่การเชื่อมต่อเข้ามา ระยะเวลาที่เชื่อมต่อ ดูการใช้ข้อมูลของโปรแกรมที่อยู่ในเครื่อง การส่งข้อมูลของโปรแกรม ถ้าหากว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล กลไกการทำงานนั้นจะถูกแยกเข้าไปในระบบคัดกรองความปลอดภัยว่าพฤติกรรมนั้นจะอยู่ในระบบ เฝ้าระวัง ถูกปิดกั้น หรือ อันตราย เก็บเก็บ record ให้กับผู้ดูแลระบบจัดการต่อไป
    data filtering and screen some user out

  4. ดูพฤติกรรมที่แปลกประหลาดกว่าคนในออฟฟิศ

    ถึงแม้ว่าแฮกเกอร์จะพยายามเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานจริงอยู่แล้ว แต่ในสถานที่ ผู้คนในการทำงานจะมีพฤติกรรมที่คล้ายกันจนสามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่ได้รับอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง อย่างเช่นได้รับอีเมลจากเพื่อนร่วมงานในการออกเอกสารบางอย่าง ในบางออฟฟิศรูปแบบการส่งอีเมลนั้นอาจจะเป็นการสื่อสารภายในแบบไม่เป็นทางการ ไม่มีฟอร์มหัวท้ายของจดหมาย แต่เมื่อได้รับเมลฉบับหนึ่งจากเพื่อนร่วมงานมีการพูดคุยด้วยภาษาอย่างเป็นทางการ มีรูปแบบที่แปลกแตกต่างจากวัฒนธรรมองค์กรที่ใช้กันอยู่ ก็จะสามารถแยกได้ว่าอีเมลฉบับนี้แปลกปลอม ซึ่งสิ่งที่ต้องการตรวจสอบอีกครั้งอาจจะเป็นการสอบถามเพื่อนร่วมงานโดยตรง การตรวจสอบที่อยู่ของอีเมล ในกรณีที่เครื่องนั้นถูกแฮกอย่างสมบูรณ์แล้วเป็นไปได้ที่แฮกเกอร์อาจจะสามารถรับส่งอีเมลได้จากอีเมลของเหยื่อจริงๆ จนไม่สามารถแยกได้ ดังนั้น พฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจนั้นจึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างพนักงานที่ต้องเรียบรู้พฤติกรรมที่ไม่ปกติ รวมถึงอุปกรณ์กรองข้อมูลที่ทำหน้าที่คัดแยกไฟล์ ปิดกั้นการเปิดลิงค์ที่มาจากแหล่งที่ไม่น่าไว้วางใจได้

  5. ใช้ข้อมูลเชิงลึก (ทางเทคนิค)

    เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่คนไม่ได้เป็นไอทีอาจจะไม่สามารถทำส่วนนี้ได้ถ้าไมไ่ด้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่รู้งานระบบ การใช้ข้อมูลเชิงเทคนิคเป็นการไปเปิดดู dushboard ของการทำงาน การดู traffic ที่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของคนในออฟฟิศ รวมถึงการตรวจดูว่าเครื่องไหนมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ถูกคัดกรองได้ของอุปกรณ์ Firewall มาแล้ว จากนั้นจะสามารถช่วยมอนิเตอร์ทีมงานในการจัดการกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในเวลาอันใกล้ โดยการจัดการระบบครบวงจรนั้นสามารถทำโดยการใช้ออแกไนซ์เซอร์ที่ดูแลระบบความปลอดภัยอยู่แล้วมาช่วยในการวางระบบ ดูแล และนำอุปกรณ์มาติดตั้งในออฟฟิศได้ผ่านบริการ Firewall as a Service ซึ่งสามารถศึกษาได้จากข้อมูลด้านล่างนี้

Firewall as a Service

ช่วยออกแบบความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล​

  • Firewall subscription model
  • พร้อมพนักงานบริหารจัดการระบบหลังบ้าน
  • มีการตั้งค่า configuration ตามนโยบายบริษัท
  • มีที่ปรึกษาดูแลระบบตลอดอายุสัญญา

ปรึกษาการทำ Cyber Security

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้