เมื่อพูดถึง personal privacy ในโลกออนไลน์ บริการ VPN ก็กำลังแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอันที่จริง VPN ได้กลายมาเป็นกระแสหลัก จนกระทั่งวันที่ 19 สิงหาคมได้ถูกตั้งว่าเป็นวัน VPN สากลอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ cybersecurity awareness ที่นำโดย NordVPN
นอกจากนี้ การทำให้ผู้คนเข้าใจถึงประโยชน์ของ VPN นั้นเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของ age of data mining, geo-blocking และ working from home อย่างไรก็ตาม การเปิดใช้งาน VPN อย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะปกป้องข้อมูลของเราได้ 100% ดังนั้น เราจะมาดูวิธีใช้ประโยชน์จาก VPN และข้อผิดพลาดที่หลายคนทำ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป
ทางลัดไปอ่าน
ToggleVPN ป้องกันความเป็นส่วนตัวได้มากน้อยแค่ไหน?
อย่างไรก็ตาม VPN ไม่ได้ช่วยเรื่องการป้องกันความเป็นส่วนตัวทางอินเทอร์เน็ต 100% แม้ว่า VPN จะสามารถซ่อน IP และหลีกเลี่ยงการโจมตีจากบุคคลที่เป็นอันตรายอื่น ๆ ได้ แต่การที่เราใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อย่างไรนั้นสำคัญกว่า นอกจากนี้ ผู้คนจำนวนมากก็ยังไม่รู้ว่าการใช้งาน VPN นั้นก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Facebook ที่เรามักใช้ล็อกอินเพื่อเข้าสู่เว็บไซต์และแอปต่าง ๆ ซึ่งการทำเช่นนั้นเราจะระบุตัวตนของเราทันที ไม่ว่าเราจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายใดก็ตาม นอกจากนี้เว็บไซต์เกือบทุกเว็บต่างก็ใช้คุกกี้ ซึ่งเป็นการระบุตัวตนของเราและเชื่อมโยงเรากับกิจกรรมก่อนหน้านี้
การใช้คุกกี้และ incognito mode ช่วยอะไรได้ไหม?
อย่างไรก็ตาม คุกกี้ไม่ค่อยเป็นอันตราย เพราะมันแค่บันทึกรหัสผ่าน บันทึกสิ่งที่อยู่ในรถเข็น หรือเพื่อแสดงโฆษณาต่าง ๆ เท่านั้น แต่คุกกี้ไม่ได้ป้องกันความเป็นส่วนตัว และหากเราไม่คอยลบคุกกี้ออก ข้อมูลต่าง ๆ ของเราจะยังคงบันทึกไว้อยู่แม้ว่าเราจะเปิด VPN
การใช้ incognito mode และการตั้งค่าอีเมลในการลงชื่อเข้าใช้ในเว็บไซต์ นับว่าเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวได้ทันที และการใช้ VPN ร่วมด้วยจะยิ่งช่วยให้มีประสิทธิภาพในการปกป้องความเป็นส่วนตัวได้ดีขึ้นอีก
ควรเปิด-ปิดใช้งาน VPN ตอนไหนดี?
อย่างไรก็ตาม ในการเปิดใช้งาน VPN ส่วนใหญ่เราจะเปิดใช้เมื่อเราจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่น เวลาที่เราต้องใช้ Wi-Fi สาธารณะในการท่องเว็บ แล้วต้องการเข้าสู่ระบบธนาคารออนไลน์ เราก็อาจจะเปิด VPN เอาไว้เพื่อต้องป้อนข้อมูลของธนาคาร และเมื่อใช้งานเสร็จเราก็ปิด VPN ซึ่งเราก็คิดว่าปลอดภัยเพียงพอแล้ว
แต่หากเรากังวลเกี่ยวกับการรักษาข้อมูลส่วนตัวเวลาที่ต้องใช้ Wi-Fi สาธารณะจริง ๆ เราควรเปิดใช้งาน VPN ก่อนที่จะเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะ และควรปิดใช้งานทันทีเมื่อเราไม่ได้เชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะแล้ว นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียนั้นเป็นช่องทางที่ง่ายในการเปิดเผยข้อมูลอย่างมาก ซึ่งหากเราโชคไม่ดีถูกโจมตี ผู้โจมตีก็จะได้รายละเอียดเกี่ยวกับธนาคารของเรารวมถึงข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม บางครั้งการเปิด VPN ก็ทำให้การทำงานไม่สะดวก ดังนั้นหากอยากปิด VPN ก็ควรใช้ฟีเจอร์ split tunneling ที่มีอยู่ใน VPN ซึ่งการทำด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถอนุญาตให้เว็บไซต์หรือแอปบางตัวยังคงป้องกันข้อมูลส่วนตัวของเราได้อยู่
สรุป
ถึงแม้มีการพัฒนาความปลอดภัยทางไซเบอร์ การปิดบังตัวตนของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือโครงสร้างของอินเตอร์เน็ตที่ใช้งานอย่าง Firewall โดยที่การเลือกอุปกรณ์ Firewall ได้เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว การใช้ฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับการทำงานก็จะทำให้มีประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัยได้อย่างสูงสุดนั่นเอง
Reference : Source