HTML smuggling เปิดเว็บมีไวรัส โดยไม่ถูกตรวจจับได้ยังไง

หน่วยงานวิจัยของ Menlo Security ได้เตือนถึงการกลับมาของการลักลอบนำเข้า HTML หรือ HTML smuggling ซึ่งผู้ร้ายจะเลี่ยงระบบการรักษาความปลอดภัย เพื่อรวบรวมเพย์โหลดที่เป็นอันตรายโดยตรงบนเครื่องของเหยื่อ นอกจากนี้ Menlo ยังค้นพบแคมเปญลักลอบขน HTML ที่ชื่อว่า ISOMorph ซึ่งใช้เทคนิคเดียวกันกับที่ผู้โจมตี  SolarWinds ใช้ในแคมเปญ Spearphishing ล่าสุดอีกด้วย

การโจมตี HTML Smuggling 

การโจมตีของแคมเปญ ISOMorph คือการลักลอบขน HTML เพื่อนำไปวางไว้ในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ และเนื่องจาก HTML ถูก “ลักลอบนำเข้า” จึงทำให้การโจมตีแบบ ISOMorph สามารถหลีกเลี่ยงการรักษาความปลอดภัย (Standard Perimeter Security) ได้อย่างง่ายดาย และหลังจากติดตั้งแล้ว ผู้โจมตีจะรวบรวมเพย์โหลดซึ่งอยู่ในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อด้วยโทรจัน remote access (RAT) ที่อนุญาตให้ผู้โจมตีควบคุมเครื่องที่ติดไวรัสและเข้าถึงเครือข่ายได้

html smuggling
สิ่งที่แฮกเกอร์จะเข้ามาใช้การติดตั้งไวรัสผ่าน HTML เป็นการส่งอีเมล หลอกให้เป็นเว็บไซต์ โหลดไฟล์ที่เข้ารหัสมาแล้วเปิดติดตั้ง

 

การลักลอบขน HTML Smuggling

การลักลอบขน HTML ทำได้โดยใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติพื้นฐานของ HTML5 และ JavaScript ที่อยู่ในเว็บเบราว์เซอร์ และใช้ HTML5 download attribute เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ที่ถูกปลอมแปลง จากนั้นใช้ JavaScript blobs โจมตีแล้วลักลอบนำเข้า HTML

เนื่องจากไฟล์ที่ถูกปลอมแปลงจะยังถูกสร้างไม่ได้ จนกว่าผู้โจมตีจะเข้าไปควบคุมคอมพิวเตอร์ของเป้าหมาย ดังนั้น network security ก็จะยังไม่เป็นอันตรายอะไรกับการโจมตี ทั้งหมดที่เหยื่อเห็นจะเป็นเพียงแค่การรับส่งข้อมูล HTML และ JavaScript ที่ทำให้เหยื่องงงวยเท่านั้น แต่การรับส่งนี้กลับมีโค้ดที่เป็นอันตรายซ่อนอยู่มากมาย

  • ปัญหา

    ปัญหาของการลักลอบขน HTML คือการที่ผู้โจมตีต้องเผชิญกับการรีโมทเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในระยะไกล และการที่ต้องเจอกับเครื่องมือการทำงานของ cloud hosting ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเข้าถึงได้จากภายในเบราว์เซอร์ นอกจากนี้ Menlo Labs ยังเผยด้วยว่ามีคนทำงานที่ใช้เว็บเบราว์เซอร์ต่อวันถึง 75% ซึ่งเป็นเสมือนการเชื้อเชิญอาชญากรไซเบอร์ให้อยากโจมตี

  • วิธีการที่ถูกใช้ล่อเหยื่อ

    การทำงานในการหลอกเหยื่อผ่าน HTML นั้นเป็นการหลอกล่อให้เข้าหน้าเว็บ ไม่ว่าจะผ่านการเข้าเว็บโดยตรง หรือ การเข้าผ่านแอพพลิเคชั่นที่ไม่ได้ติดตั้งผ่านร้านค้าทางการอย่าง Playstore (ในแอนดรอย) หรือการติดตั้งโปรแกรมที่ไม่น่าเชื่อถือ เว็บเถื่อน โปรแกรมเถื่อนก็ตาม
    html pdf phishing via email

    • ส่งไฟล์ล่อแบบส่งเข้ามา

      วิธีการส่งไฟล์เข้ามาอาจจะเป็นทั้งการรับข้อความผ่านทางอีเมล รับไฟล์จากอินเตอร์เน็ต ซึ่งทางเทคนิคของการส่งรับไฟล์เข้ามานั้นจะเป็นการส่งผ่านไฟล์ HTML (ไฟล์เว็บ) ซึ่งทางการตรวจจับไฟล์อันตราย(โปรแกรมแสกนไวรัส หรือ ไฟร์วอลล์)ซึ่งโดยทั่วไปการแสกนไวรัสนั้นจะสามารถแสกนไฟล์ภายในเพื่อยืนยันให้กับผู้รับไฟล์ว่ามีความปลอดภัย แต่ การปรับตัวของแฮกเกอร์นั้นจะพยายามหลบเลี่ยงการแสกนไฟล์เหล่านี้ได้จึงเริ่มมีการแนบไฟล์ผ่านการบีบอัดไฟล์และเข้ารหัสไว้ พร้อมกับแนบรหัสผ่านมาพร้อมกัน เพื่อให้การแสกนไฟล์ไม่สามารถเข้าไปทำได้ เนื่องจากไม่สามารถเปิดไฟล์เหล่านั้นเพื่อแสกนไฟล์ได้

    • เมื่อมีการเปิดไฟล์แนบ HTML ก็เริ่มทำงาน

      เมื่อมีการเปิดไฟล์ HTML ขึ้นมาจะมีการให้ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP / RAR ที่แนบมาพร้อมกับรหัสผ่านให้เปิดไฟล์ จากนั้นเมื่อมีการโหลดลงเครื่องแล้ว เปิดรหัสเปิดไฟล์ออกมา ก็อาจจะมีการตรวจจับโค้ดอันตราย (แนบไวรัส) ถึงตอนนั้นจะหลุดการตรวจกรองข้อมูลจากอุปกรณ์ Firewall ที่กรองข้อมูลมาแล้ว ถ้าหากมีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแล้วเปิดใช้งานอยู่ อาจจะมีการตรวจจับพบ หรือ ไม่เลยก็ได้

      html smuggling example
      กระบวนการหลอกลวงเพื่อให้ติดตั้งไฟล์อันตราย โดยมากอาจจะเป็นการส่งเข้าอีเมล หรือ ดาวน์โหลดบางโปรแกรมที่ไม่ได้ถูกลิขสิทธิ์ก็อาจจะมีการแนบไฟล์อันตรายเข้ามา
    • ตัวอย่าง กรณีศึกษา

      เนื่องจากไวรัสที่แนบมาจาก HTML smuggling นั้นมีหลายตัวแต่จะยกตัวอย่างการหลอกให้ติดตั้งไฟล์ไวรัสข้างต้น ได้ด้วยวิธีการตามแผนภาพ

      1. โดยจะเริ่มจาการหลอกล่อเหยื่อ
        ส่งอีเมลแนบไฟล์ HTML เข้ามาผ่านทางอีเมล 
      2. เหยื่อเปิดไฟล์อีเมล
        พร้อมเปิดไฟล์ HTML ที่แนบมา แสกนไวรัสไม่เจอเนื่องจากไม่มีการแนบไฟล์อันตรายภายในนั้น
      3. เมื่อเปิดมาจะเป็นหน้าเว็บไซต์
        แล้วแนบไฟล์ ZIP ที่ใส่รหัสผ่านแนบมาด้วย
      4. จากนั้นมีการดาวน์โหลดไฟล์เหล่านั้นลงเครื่อง
        แล้วเปิดไฟล์ขึ้นมา จากนั้นมีการติดตั้งไฟล์เสร็จสมบูรณ์

การป้องกัน

เนื่องจากสร้างไฟล์นั้นถูกสร้างขึ้นในเบราว์เซอร์ของเป้าหมาย โดยการตรวจจับ กรองข้อมูลผ่านอุปกรณ์นั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับบริษัทนั้นจำเป็นต้องมีการวางระบบไว้มากกว่าหนึ่งระบบความปลอดภัย 

  • การวางระบบ นโยบายข้อมูลภาพรวม

    การวางระบบในทางเทคนิคเบื้องต้นที่คนไม่ใช่ไอทีจะเข้าใจได้ นั้นเป็นการเลือกว่าต้องการจัดการข้อมูลแบบไหน ต้องการบล็อคเว็บ หรือต้องการให้เฉพาะใครบางคนสามารถเข้าสู่หน้าเว็บไซต์นั้นได้หรือเปล่า นี่เป็นสิ่งหลักที่ผู้บริหารจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีที่มีการสร้างระบบนี้ขึ้นมา รวมถึงการเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบตามกฏหมาย ซึ่งตามกฏหมายมีการกำหนดให้เก็บประวัติการเข้าใช้งานระบบกับผู้ใช้งาน (พนักงานในบริษัท) ซึ่งมีผลในการตรวจสอบภายใน และการนำไปเป็นหลักฐานทางกฏหมายในบริษัท
    phishing data

  • การตั้งระบบกรองข้อมูลทั้งบริษัท

    การที่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค มือถือ ปริ้นเตอร์ อะไรก็ตาม เราจะเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่าย Network โดยวงเครือข่าย LAN นี่จะต้องมีการเชื่อมต่อกับภายนอกด้วยอินเตอร์เน็ต ดังนั้นถ้าหากต้องการความปลอดภัยจากภายนอกต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์กรองข้อมูลอย่างไฟร์วอลล์ รวมถึงการนำฟีเจอร์ที่จำเป็นสำหรับแต่ละองค์กรเข้ามาใช้ (ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ)

  • การติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสในแต่ละเครื่อง

    เมื่อมีการติดตั้งการกรองข้อมูลเข้ามาแล้ว การกรองข้อมูลนั้นอาจจะเป็นในเชิงภาพรวม เว็บที่อันตราย ไฟล์ที่อันตราย ผู้ติดต่อที่เข้าข่าย ซึ่งเป็นการดูแลภาพรวมเป็นเสมือนผู้รักษาความปลอดภัยให้กับทั้งบริษัท แต่ในกรณีดังกล่าว การส่งไฟล์เข้ามาทาง HTML เห็นได้ว่าในกรณีที่ผู้ส่งข้อมูลเป็นผู้ติดต่อใหม่ที่ยังไม่มีการสร้างแบลคลิตส์ในฐานข้อมูล ก็จะมีหลุดรอดการป้องกันมาได้เช่นเดียวกัน สิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อมาคือการติดตั้งแอนตี้ไวรัส (ถ้าเป็นโปรแกรมเดียวกันกับอุปกรณ์กรองข้อมูล จะง่ายต่อการจัดการความไม่ปลอดภัยได้รวดเร็ว) ดังนั้น เมื่อไฟล์นั้นถูกดาวน์โหลดลงเครื่องนั้นๆที่หลงกลเชื่อแฮกเกอร์แล้ว โปรแกรมแอนตี้ไวรัสจะทำหน้าที่รับไม้ต่อในการสั่งห้ามให้ไฟล์ที่มีความอันตราย หมิ่นเหม่ หรือ เข้าข่าย สามารถเปิดขึ้นมาได้นั่นเอง 

firewall

วางระบบความปลอดภัยไอที

ช่วยออกแบบความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล​​

  • Firewall subscription model
  • ดูแลระบบโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต
  • มีการตั้งค่า configuration ตามนโยบายบริษัท
  • มีทีมงานดูแลระบบให้ตลอดอายุการใช้งาน

ปรึกษาการทำระบบ Cyber Security

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้

WiFi Organizer ประเมินงานอีเว้นท์ของคุณจำเป็นต้องใช้ WiFi หรือเปล่า?

บริการ WiFi Organizer เป็นระบบที่ช่วยขยายสัญญาณไวไฟด้วยอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่อมากกว่า 100 เครื่องขึ้นไปจนถึงหลักแสนเครื่อง โดยส่วนมากจะถูกนำไปใช้ในงานอีเว้นท์ ประชุม สัมมนา มีสัญญาณ WiFi เชื่อมเข้าอินเตอร์เน็ตให้กับผู้เข้าร่วมปริมาณมาก ทุกคนเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้อย่างไม่อืด ไม่หน่วง ไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณเต็ม สร้างประสบการณ์การเข้าร่วมงานอีเว้นต์ที่สูงสุด และเป็นมืออาชีพ

WiFi Organizer 

การประเมินงานที่ต้องใช้ WiFi Organizer

โดยทั่วไปสถานที่ต่างๆมี WiFi อยู่แล้ว แต่งานที่มีสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ WiFi organizer เพียงแต่หลายครั้งเองระบบไวไฟของสถานที่เองมีความเร็วไม่เพียงพอสำหรับผู้ร่วมงานจำนวนมาก ระบบไวไฟมีไม่เพียงพอสำหรับผู้ร่วมงานทำให้พอใช้งานพร้อมกันหลักร้อย หลักพันคน เกิดปัญหาสัญญาณไม่ตรงตามความต้องการ

งานแบบนี้ต้องใช้ WiFi organizer
  •  งานแบบนี้อาจจะต้องหา WiFi ที่เสถียร

    • งานที่ผู้ร่วมงานต้องใช้อินเตอร์เน็ตพร้อมกันมาก (มากกว่า 20 เครื่อง)

      แน่นอนว่าโดยพื้นฐานของสถานที่ต่างๆมีบริการไวไฟในสถานที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะต้องซื้อเพิ่มเป็นรายคน หรือให้ใช้ฟรีตามมาตรฐานของสถานที่นั้น โดยตามมาตรฐานนั้นอาจจะมีรองรับสำหรับผู้ใช้งานในช่วงเวลาปกติ อย่างเช่นมีผู้ใช้งานแวะเวียนมาเชื่อมต่อสัญญาณในบริเวณนั้นเฉลี่ย 100 คนต่อชั่วโมง โดยไวไฟนั้นยังคงสามารถทำให้ทุกคนได้ปกติ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่มีผู้ใช้เพิ่มขึ้น 100 คน 200 คน การกระจายสัญญาณไวไฟเริ่มจะเกิดปัญหาเน็ตช้า เน็ตเชื่อมต่อไม่ได้ เนื่องจากเกินขึดจำกัดการใช้งานของอุปกรณ์

    • งานที่อยู่ในมุมอับ สัญญาณมือถือไม่ดี

      จริงอยู่ที่ทุกคนมีอินเตอร์เน็ตของตัวเองอยู่แล้ว สามารถแชร์ฮอตสปอตให้ตัวเองสามารถใช้งานในโน๊ตบุคส่วนตัวได้ แต่ถ้าหากในสถานที่นั้นมีสัญญาณอ่อน

      อับสัญญาณมือถือ ไวไฟ
      สถานที่จัดงานอับสัญญาณ เข้าถึงอินเตอร์เน็ตยาก
    • งานที่อยู่บนตึกสูงกว่า 4 ชั้น

      ปัจจุบันในอาคารสูงหลายแห่งมีผู้ให้บริการโทรศัพท์ไปติดตั้งเสาสัญญาณขนาดเล็กภายในอาคาร แต่อย่างลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บริการ 4G ทุกเจ้าจะเข้ามาติดตั้งสัญญาณภายในอาคารนั้น เพราะโดยทั่วไปแล้วสัญญาณ 4G/5G ที่อยู่ในอากาศนั้นจะครอบคลุมพื้นที่ความสูงประมาณ 4 ชั้น ถ้าหากตึกที่สูงกว่านั้นอาจจะมีปัญหาการใช้สัญญาณได้

    • งานที่มีสัญญาณ WiFi ในงานแต่ต้องการความเร็วสม่ำเสมอ

      กิจกรรมที่ต้องการสัญญาณสม่ำเสมอไม่หลุด ไม่หน่วง แต่อาจจะไม่ได้ใช้ความเร็วสูง อย่างเช่น การโอนจ่ายเงิน เครื่องคิดเงิน POS กิจกรรมที่ให้ผู้ร่วมงานต้องเชื่อมต่อไวไฟแล้วใช้กันภายใน อย่างเช่นการสอบ ดูสถานะอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ หรือการใช้ข้อมูลภายในเครือข่าย เป็นต้น

      ถ่ายทอดสด broadcast steaming via internet wifi
      มีการถ่ายทอดสด ใช้สัญญาณที่เร็วและเสถียรพอ
    • งานที่ต้องมีการสตรีม (Live สด) ถ่ายทอดสัญญาณ ประชุมวีดีโอ สัมมนา

      กิจกรรมดังกล่าวมีสิ่งที่ต้องมีคือสัญญาณที่เร็ว เสถียร และเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเชื่อมต่อ WiFi กับส่วนกลางที่ต้องแชร์ความเร็ว หรือ ช่องสัญญาณ (Bandwidth) กับส่วนรวมอาจจะมีปัญหาการส่งสัญญาณ ความเร็ว เนื่องจากการใช้อินเตอร์เน็ตของอุปกรณ์จะบาล้านซ์ทุกอุปกรณ์ให้สามารถใช้งานได้เท่าๆกันในช่วงเวลานั้น การตั้งสัญญาณส่วนตัวจึงจำเป็นสำหรับการเลือกใช้ในงานที่ต้องมั่นใจว่าสามารถใช้ได้อย่างไม่สะดุด ไม่กระตุก

  • งานแบบนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อบริการเพิ่ม

    • งานที่มีอุปกรณ์น้อยว่า 5 เครื่อง

      ในงานที่มีการใช้งานน้อย อย่างเช่นการเปิดใช้งานอินเตอร์เน็ตไม่มาก มีสัญญาณหลุดบ้าง ช้าบ้างก็ไม่เป็นอะไร อาจจะสามารถพิจารณาการใช้เครื่องปล่อยฮอตสปอต ในการกระจายให้กับเครื่องอื่นๆ แต่อาจจะไม่ครอบคลุมในกรณีที่ต้องการ Live สด Steamming ต่างๆ เนื่องจากสัญญาณ 4G/5G มีความแปรผันตามปัจจัยภายนอกมากมายนั่นเอง

    • งานที่มีสัญญาณ 4G/5G เสถียรและผู้ใช้งานสามารถใช้เน็ตมือถือของตัวเองได้

      ถ้าหากหน้างานที่ต้องการใช้งานนั้นเป็นสถานที่โล่ง มีสัญญาณผู้ให้บริการอย่างเสถียรแล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้บริการ WiFi rental ในการใช้งานเหล่านี้ เนื่องจากปัจจัยภายนอกนั้นเอื้ออำนวยที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ ยกเว้นในกรณีที่มีการจัดอีเว้นต์ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่นมาก เช่น ในบริเวณเดียวกันมีผู้คนมาอยู่แออัดมาก อย่างเช่นงานเทศกาลต่างๆ ถ้าหากไม่แน่ใจว่าในงานจะมีผู้ให้บริการโทรศัพท์จะมาขยายสัญญาณให้หรือเปล่า อาจจะจำเป็นต้องพิจารณาในการใช้ WiFi แยกส่วนตัวโดยใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตแทน

      มุมอับสัญญาณ wifi organizer
      ตรวจดูสัญญาณมือถือ 4G/5G ว่ามีรองรับหรือไม่
    • งานที่มีการย้ายสถานที่ใช้สัญญาณ

      ในงานที่ต้องมีการใช้สัญญาณมากกว่า 1 จุด หรือต้องการใช้สัญญาณตามตำแหน่งที่เดินไป การใช้งาน WiFi rental อาจจะไม่ตอบโจทย์เช่นเดียวกัน เนื่องจากอุปกรณ์และสายสัญญาณอาจจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ อาจจะพิจารณาการใช้ฮอตสปอตแทน ในกรณีที่มีผู้ใช้งานในพื้นที่แออัด อาจจะจำเป็นต้องขอให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เข้ามาขยายสัญญาณแทน

    • งานที่ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมาก

      ในงานที่ไม่ต้องการใช้เน็ตบ้าง อาจจะเปิดบ้าง ไม่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้งาน WiFi ในอีเว้นต์แต่อย่างใด อาจจะเลือกใช้เน็ตมือถือของตัวเอง หรืใช้ฮอตสปอตเข้ามาทำงานก็เพียงพอแล้ว

    • งานที่ไม่มีการสตรีมหรือไม่ต้องให้ผู้ร่วมงานใช้อินเตอร์เน็ต

      ไม่ใช่ทุกงานที่จำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ต ดังนั้นถ้าหากงานดังกล่าวอาจจะได้ใช้เน็ตบ้าง บางครั้ง บางคน หรืออาจจะแค่เปิดค้นหาข้อมูลบ้าง ท่านสามารถเลือกใช้ WiFi ของสถานที่เอง(ขึ้นอยู่กับสถานที่นั้น) ก็อาจจะตอบโจทย์การใช้งานนั่นเอง ซึ่งถ้าหากไม่มั่นใจว่าจำเป็นต้องใช้หรือเปล่าสามารถ กรอกแบบฟอร์มให้เราติดต่อกลับที่นี่
      งานแบบไหนต้องใช้ wifi organizer

รูปแบบการใช้ WiFi organizer เหมาะสมกับงานไหน?

  • งานที่ต้องมีการจ่ายเงินออนไลน์ ขายสินค้า ตัดบัตรเครดิต

    สำหรับงานที่ต้องมีการขายสินค้า ยิงบาร์โค้ด ต้องตัดบัตรเครดิตหรือพร้อมเพย์ จำเป็นต้องมีสัญญาณไวไฟเสถียร ไม่อับ ไม่อืด ไม่หลุด ลูกค้ามีความต้องการในการจ่ายเงินออนไลน์จำเป็นต้องคำนึงถึงความเสถียรของสัญญาณ เพราะถ้าหากสถานที่จัดงานนั้นอยู่บนตึกสูง อยู่ในมุมอับ รวมถึงสัญญาณมือถือถูกบดบังจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ จะทำให้มีปัญหาในการทำรายการต่างๆอย่างแน่นอน

  • งานที่ต้องใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

    สำหรับสถานที่จัดงานโดยทั่วไปแล้วจะมีสัญญาณไวไฟให้ใช้ โดยแตกต่างไปตามสถานที่ รวมถึงความเร็วในการเชื่อมต่อ โดยปัญหาส่วนใหญ่ของการใช้ WiFi ของเจ้าของสถานที่เดิมคือการรองรับจำนวนผู้ใช้งานไม่มาก และมักจะเกิดปัญหาอินเตอร์เน็ตหน่วง ช้า จากการใช้งานพร้อมกันครั้งละมากเกินไป อันเนื่องมาจากระบบไม่ได้มีไว้รองรับการใช้งานปริมาณมาก การเช่าระบบไวไฟสำหรับการใช้อุปกรณ์พร้อมกันจึงจำเป็น เพราะได้มั่นใจว่าการใช้งานนั้นถูกออกแบบมารองรับกับทุกคน
    pos for sales use wifi or internet

  • งานที่ต้องมีการสตรีม ไลฟ์ สัญญาณเสถียร ดีเลย์ต่ำ

    สำหรับงานที่ค่อนข้างความเสถียร นิ่ง ของการใช้สัญญาณ WiFi คืองาน Live หรือส่งสัญญาณแบบเรียลทาม เบื้องหลังของการวางระบบนี้คือการแบ่งสัญญาณ การป้องกันคลื่นรบกวนกัน รวมถึงการทำให้ WiFi มีการสั่งให้ไปจับเสาตัวที่มีสัญญาณดีกว่าทันที ซึ่งระบบของเราคำนึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดแด่ทุกคน

  • รู้จักลูกค้าที่แท้จริง ด้วย Heatmap

    สำหรับประโยชน์ของการมี WiFi ที่เสถียรสำหรับผู้ร่วมงานแล้ว ยังสามารถเพิ่มประสบการณ์การเยี่ยมชมอีเว้นท์ด้วยการบริหารสัญญาณ ตามตำแหน่งที่มีผู้ใช้งานสูง ในการลดคอขวดการใช้ไวไฟ รวมถึงมีประโยชน์ในการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าในการ flow งานสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในด้านการตลาด รวมถึงออแกไนซ์งานที่จะมีขึ้นในอนาคตอีกด้วย
    wifi barrier for events

อุปสรรคและการใช้เน็ตของสถานที่

ปัจจุบันเริ่มมีการจัดงานกันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการประชุม สัมมนา หรือการขายสินค้า สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับยุคนี้คือการใช้ WiFi เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง ใช้ขายของจ่ายพร้อมเพย์ และกิจกรรมการเงินต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • คนใช้เน็ตเยอะ 4G ก็พัง ไวไฟก็ต่อไม่ได้

    ปัญหาหนึ่งของการจัดงานอีเว้นท์ในสถานที่หนึ่งๆ คือการที่ผู้คนต่างใช้อุปกรณ์สื่อสารในการเข้าอินเตอร์เน็ตพร้อมกันปริมาณมากๆ ทำให้สัญญาณมือถือเริ่มจะไม่เพียงพอ เกิดอาการเน็ตเข้าไม่ได้บ้าง เน็ตช้า หรือ โทรออกไม่ได้เลยก็มี ทำให้การทำกิจกรรมการเงิน จ่ายเงิน รูดบัตรต่างๆที่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก ในฐานะผู้จัดงานส่วนมากจึงเริ่มเป็นกังวลสำหรับการเช่าสถานที่การจัดงาน สัญญาณอินเตอร์เน็ตในการให้ผู้ร่วมงาน ผู้ออกบูธจำเป็นต้องได้ใช้นั้นมีเพียงพอหรือเปล่า?

    crowded people for data usage stuck
    สถานที่แออัด มีคนอยู่จำนวนมาก มีปัญหาการใช้สัญญาณมือถือ
  • ไม่ได้ต้องการ WiFi แรงๆแต่ขอให้ใช้เน็ตได้ก่อน

    แม้ว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แท๊ปเลต POS หรือ ตัดบัตรเครดิตต่างๆ เหล่านี้อาจจะไม่ได้ต้องการไวไฟความเร็วสูง เพียงแต่อุปกรณ์นั้นต้องการสัญญาณ WiFi ที่เสถียรเพียงพอสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน ไม่ขาดหายในระหว่างทำรายการจ่ายเงิน ตัดสตอคสินค้าระบบหลังบ้าน แม้กระทั่งการประชุมออนไลน์ถ้าหากเกิดสัญญาณตัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ ก็อาจจะทำให้ผู้จัดอีเว้นท์เองสูญเสียความเชื่อมั่นกับลูกค้าเอง ทำให้ความเสถียร และหน่วงน้อย เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการ WiFi rental ที่เหมาะสมกับคุณ

ความแตกต่าง wifi บ้าน vs wifi อุตสาหกรรม

WiFi ระดับอุตสาหกรรม คืออุปกรณ์ที่เอามาบริการคุณ

  • จัดงานอย่างมืออาชีพ

    นอกจากนี้บริการของเรานั้นมาพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้กระจายไวไฟในอุตสาหกรรม ห้าง ที่รองรับการใช้งานปริมาณมาก ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีความเฉพาะเจาะจง มีการตั้งค่าที่มีความซับซ้อน รวมถึงการใช้ความปลอดภัยด้วย Firewall ในการป้องกันการคุกคามจากผู้ไม่หวังดีเจาะเข้ามาในระบบ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ใช้ไวไฟที่ปลอดภัย รวมเร็ว และเพียงพอสำหรับทุกคน

  • ทีมวิศวกรที่ดูแลระบบตลอดเวลาจัดงาน

    เรามีทีมงานที่เข้าใจระบบเครือข่ายที่มาช่วยบริหารระบบหลังบ้าน ตลอดเวลางานอีเว้นท์ของคุณ โดยมั่นใจได้ว่ามีคนแก้ไขปัญหาต่างๆที่หน้างาน จะช่วยจบปัญหากวนใจของผู้จัดงานโดยประกอบด้วย

    วิศวกรดูแลระบบ wifi organizer ตลอดการทำงาน
    มีทีมวิศวกรคอยดูแลสัญญาณให้ตลอดงาน
    • จัดการสัญญาณครอบคลุมทั้งบริเวณ

      เรามีทีมวิศวกรตรวจเช็คสัญญาณ บริเวณสัญญาณ จุดอับของสัญญาณในบริเวณสถานที่บริการหน้างาน ผ่านการใช้ WiFi Diag เป็นกระบวนการที่ใช้อุปกรณ์ตรวจสอบความเข้มของสัญญาณในบริเวณต่างๆตามผังสถานที่จัด

    • สัญญาณเสถียรเพียงพอสำหรับทุกคน

      เพื่อให้แน่ใจว่าสัญญาณจะเพียงพอสำหรับทุกคน จะมีกระบวนการตรวจสอบความหนาแน่นของผู้ใช้อุปกรณ์ โดยถ้าหากบริเวณไหนที่คาดว่าจะมีผู้ใช้งานปริมาณมาก จะมีการนำอุปกรณ์ไปขยายสัญญาณ (bandwidth) เพิ่มเติมจากตำแหน่งอื่นทำให้ทุกงานของคุณไม่สะดุดจากประสบการณ์การทำงานของเราเป็นการันตี
      one time loggin

    • เชื่อมต่อครั้งเดียว สัญญาณครอบคลุมทั่วงาน

      มีการทำ Single login เชื่อมต่อครั้งเดียวเดินได้ทั่วงานไม่มีสะดุด ไม่ต้องเชื่อมต่อใหม่ สามารถเดินไปได้ทั่วบริเวณงานจากการเชื่อมต่อเพียงครั้งเดียว

    • มีระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้ร่วมงาน

      นอกจากนี้มีการวางระบบ Firewall สำหรับคัดกรองข้อมูลที่อันตรายให้กับผู้ว่าจ้างในการอนุญาตให้เข้าถึงบางเว็บไซต์ ทำให้มั่นใจได้ว่า WiFi rental ที่ได้ให้บริการจากเรามีความปลอดภัยสูงสุด

WiFi Rental สัญญาณไวไฟงานอีเว้นท์

  • เช่าระบบ WiFi ในงานอีเว้นท์
  • สัญญาณ WiFi เสถียร
  • มีผู้ดูแลตลอดเวลาจัดงาน

ประเมินความต้องการ WiFi

ทีมงานจะติดต่อกลับไป

พนักงานไอที คนรู้ไอที เปิดปิดสวิตส์ เสียบปลั๊ก หน้าไซต์งาน ทั่วประเทศ

พนักงานไอที ฉุกเฉิน ทั่วประเทศ

พนักงานไอที ในหลายบริษัททำหน้าที่เป็นสารพัดช่างประจำออฟฟิศ ต้องดูตั้งแต่การตั้งค่าอุปกรณ์ Server จัดการระบบ Firewall ดูแลอุปกรณ์ Internet of Thing ทำตั้งแต่ทักษะที่อยู่ระดับที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวจนไปถึงทักษะที่ต้องใช้งานเพียงการเสึยบปลั๊ก จนบางครั้งลามไปถึงการเปลี่ยนหลอดไฟในบางบริษัทเองก็มี ในหลายบริษัทนั้นมีหลายสาขาที่เปิดบริการลูกค้า แต่การจ้างพนักงานไอทีเองไม่ได้มีการจ้างอยู่ในทุกจังหวัด เนื่องจากข้อจำกัดเหล่านี้เอง การรีโมทจึงถูกนำมาใช้แทนการที่ไอทีเข้าไปเซอร์วิสเองในแต่ละสาขา แต่การเรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการใช้งาน เสียบปลั๊ก เปิดเครื่องเพื่อเตรียมพร้อมในการเข้าไปเซอร์วิสเองที่ทำให้หลายครั้ง พนักงานไอทีคนเดียวกันนั้นต้องขับรถ เบิกค่าเครื่อง ค่าโรงแรมข้ามจังหวัดต้นทุนหลักหลายพันไปถึงหมื่น เพียงเพื่อไปเปิดเครื่อง ดูอุปกรณ์ ตั้งค่าให้พร้อมสำหรับการรีโมทเข้ามาเซอร์วิส ทำไมไม่ให้คนในพื้นที่ พอรู้ไอทีเข้ามาเตรียมหน้างานให้ล้ะ ผ่านบริการที่เรียกว่า ร่างทรงไอที

คุณคือใคร?

หา พนักงานไอที

หาคนเข้าไซต์งาน

สมัคร พนักงานไอที

สมัครพาร์ทเนอร์

ร่างทรงไอที รีโมทร่างของ พนักงานไอที มาทำงาน

พนักงานไอทีในปัจจุบันนั้นสามารถแก้ปัญหางานที่ซับซ้อน ไซต์งานที่ใหญ่ โดยสามารถดูได้จาก Diagram ที่อยู่บน dush board ของแต่ละอุปกรณ์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปลุยหน้างานเอง เพราะใช้เพียงการเปิดดูข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต แต่สิ่งที่ยังทำให้ พนักงานไอที จำเป็นต้องเตรียมก่อนใช้งานอุปกรณ์ คือการเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการรีโมทเข้าไปทำงาน แต่ทำยังไงดีในเมื่อในบริษัทเองมีคนที่รู้ไอทีเพียงไม่กี่คนในสาขาต่างจังหวัดการให้คนที่อยู่ในสาขาจับสาย LAN เปิดปลั๊ก SwitchHUB หรือการจั้มสาย ก็เป็นเรื่องยากลำบากในทั้งการอธิบาย หรือไปรบกวนการทำงานของพนักงานที่อยู่ในสถานที่นั้น เหตุนี้เองหลายครั้งพนักงานต้องเสียเวลาขับรถเข้าไปเตรียมไซต์ด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้งานนั้นเดินต่อไปได้

เหตุนี้เองการทำงานของร่างทรงไอที จึงอุบัติขึ้นจากความต้องการลดภาระของคนไอที ลดค่าใช้จ่ายในการซัพพอร์ตพนักงานไปออกไซต์ต่างจังหวัดเพื่อไปทำงานพื้นฐานที่อาจจะไม่ได้ค่าตอบแทนสูง งานที่ง่าย แต่จำเป็นต้องทำ ร่างทรงไอทีจึงมาตอบโจทย์ในการให้คนในพื้นที่ เข้าไปเซอร์วิส เตรียมหน้างานตามคำสั่ง เสียบปลั๊ก เสียบสาย เตรียมอุปกรณ์เทสพื้นฐานให้ตามสั่ง โดยให้บริการครบคลุมทั่วประเทศ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,000 บาทต่อครั้ง

รู้ไอทีพื้นฐาน พนักงานไอที

รู้ไอทีพื้นฐาน

มีอุปกรณ์ไอทีพื้นฐาน พนักงานไอที

มีอุปกรณ์การทำงาน

เป็นคนในพื้นที่ พนักงานไอที

เป็นคนพื้นที่

คืนเงินเต็มจำนวน พนักงานไอที

มีปัญหาคืนเงินเต็มจำนวน

หน้าที่ ลักษณะการทำงาน

  • พอรู้ไอที หยิบจับได้ ช่วยเป็นลูกมือได้

    พนักงานร่างทรงไอทีนั้นเป็นเสมือนคนที่รู้คอมพิวเตอร์พื้นฐาน รู้จักปลั๊กไฟ เสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์ เสียบสาย เสียบจอเข้ากับเครื่อง สามารเปิดเครื่องได้ ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมพื้นฐานเพื่อติดตั้ง หรือเตรียมเครื่องให้พร้อมรีโมทเข้ามาได้ เข้ามาตรวจเช็คสถานะของอุปกรณ์ให้ได้ หรือ แม้กระทั่งมาเป็นลูกมือในการทำงานพื้นฐานได้ เช่น เปิดเครื่อง เสียบแฟลชไดร์ฟ หรือ เข้ามาเป็นลูกมือที่หน้างานโดยจำเป็นต้องมีคนกำกับในการทำงาน ทั้งนี้อาจจะไม่ครอบคลุมการทำงานเฉพาะทางของไอที เช่น สั่งให้แกะอุปกรณ์เปลี่ยน Harddrive เปลี่ยนอุปกรณ์เสียบสาย PCI express หรือ ตัดต่อ LAN เดินสาย หรือทำงานเฉพาะด้านต่างๆ เนื่องจากทุกขั้นตอน จำเป็นต้องมีการสั่งการ และการทำงานที่ซับซ้อนเกินไป อาจจะเกิดความผิดพลาดจากการเตรียมงาน โดยสามารถหาพนักงานเฉพาะทางเฉพาะทางได้จากบริการ Operant by agent ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงด้านทักษะงาน สามารถแก้ไขงาน ตั้งค่าอุปกรณ์ที่เอเจ้นรับงานนั้นถนัดได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องมีการสั่งการทุกขั้นตอนเสมือนบริการ ร่างทรงไอที ดังที่กล่าวมาข้างต้น

  • อัปเดตสถานะแบบเรียลทาม (เท่าที่เราจะทำได้)

    ทีมพนักงานไอทีร่างทรงของเราจะมีการอัปเดตสถานะการทำงานกับนายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นการแชท การโทรศัพท์ การวีดีโอคอล โดยแต่ละขั้นตอนจะมีหลักฐานการทำงานไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพต่างๆ สามารถย้อนกลับมาตรวจดูได้เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผู้ว่าจ้างเองสามารถติดตามดูได้ว่าการทำงานไม่ออกนอกสโคปการทำงานที่คุยกันไว้
    ขอบเขตการทำงาน

  • มีอุปกรณ์พื้นฐานการทำงาน (ตามรีเควส)

    นอกจากนี้การใช้บริการร่างทรงไอทีนั้นสามารถให้ผู้รับงานเตรียมอุปกรณ์พื้นฐานเพื่อซัพพอร์ตการทำงานได้ เช่น โน๊ตบุค ปลั๊กสามตาสำหรับต่อพ่วง สาย LAN แฟลชไดร์ฟ เป็นต้น ในกรณีที่เป็นอุปกรณ์เฉพาะทางเช่นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆที่จะต้องนำมาใช้ในการทำงาน ผู้ว่าจ้างจำเป็นต้องมีการส่งอุปกรณ์เหล่านั้นมาเตรียมไว้ที่หน้างาน อาจจะเป็นการส่งมาให้ที่สถานที่นั้นได้เลย แล้วให้ร่างทรงไอทีนำไปใช้ได้ทันทีที่เข้ามาถึงหน้างาน

  • อยู่ใกล้ไซต์งาน คนในพื้นที่

    ปัจจัยที่ทำให้การเดินทางเข้าไปไซต์งานไม่สะดวกของเจ้าของงานไม่ว่าจะต้องขับรถฝ่าเข้าไปดงรถติด เสียเวลาชีวิตเป็นวันๆแล้ว การเดินทางออกต่างจังหวัด การนั่งเครื่องบินข้ามภาค เสียค่ารถ ค่าเรือ ค่าโรงแรมเพื่อเข้าไปยังไซต์งานเพื่อเข้าไปทำงานง่ายๆอย่างตรวจเช็คสถานะของอุปกรณ์ ดูว่ามันพร้อมใช้งานด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่นอกจากเสียเวลาการทำงานมหาศาลแล้วยัง เสียโอกาสการทำงานอย่างอื่นที่ต้องทำอีกด้วย

    • คนในพื้นที่ รู้โลเคชั่น

      การมีร่างทรงไอที (พนักงานไอทีฉุกเฉิน) นอกจากจะช่วยเป็นแขนขาให้กับเจ้าของงานในการเข้าไปเตรียมไซต์งานแล้ว ยังเป็นคนในพื้นที่เดินทางสะดวก มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่น้อยกว่าทำให้ค่าบริการเซอร์วิสในแต่ละงานมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย รวมถึงในกรณีที่ต้องการให้ร่างทรงไอทีเหล่านี้เข้ามาเป็นลูกมือที่หน้างาน ยังสามารถแนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ร้านที่น่านั่งให้ไปลองรู้จักคนท้องถิ่นได้เช่นเดียวกัน

  • ไม่เทงาน การันตีคืนเงินเต็มจำนวน

    การรับงานนั้นจะมีกระบวนการหาผู้เหมาะสมที่อยู่ใกล้กับไซต์งานเป็นสำคัญ โดยที่ถ้าหากมีการรับนัดเพื่อทำงานแล้วเกิดการยกเลิกจะมีการนำร่างทรงคนนั้นแบนออกจากระบบ ดังนั้น กระบวนการหาคนมารับงาน การตกลงค่าตอบแทนนั้นจะมี Prospace เป็นตัวกลางในการดำเนินงานทั้งหมด ถ้าหากเกิดการเทงาน งานไม่เสร็จสมบูรณ์ หรือ จบงานก่อนเวลาที่ตกลงกันไว้ด้วยเหตุผลที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ทั้งสองฝ่าย เราจะดำเนินการคืนเงินให้กับผู้ว่าจ้างเต็มจำนวน

    จุดเด่นของบริการ พนักงานไอที
    การทำงานมีการคัดกรองพนักงาน โฟกัสกับการทำงาน

ทำไมถึงต้องเลือกใช้การหา พนักงานไอที จากเรา

คัดกรองคนทำงานให้

เรามีพาร์ทเนอร์อยู่ตามต่างจังหวัด ต่างอำเภอ รวมถึงประวัติการรับงาน และพฤติกรรมการทำงาน เมื่อมีการรีเคสการทำงานเราจะมีกระบวนการคัดกรองเพื่อเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดในการรับงาน โดยปัจจัยจะขึ้นอยู่กับเวลาที่พาร์ทเนอร์สะดวกรับงาน ระยะทางที่ต้องเดินทาง อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม รวมถึงผลตอบแทนที่ได้รับ รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้เองเป็นจุดเด่นที่ลูกค้าส่วนใหญ่มาใช้บริการเราในการเข้าไปช่วยเหลือ หาคนทำงาน รวมถึงให้ฟีดแบคในการทำงานของพาร์ทเนอร์แต่ละท่านเพื่อปรับปรุงการหาคนที่เหมาะสมมาให้กับคุณ

รองรับงานทั่วประเทศ

เรามีระบบในการค้นหาร่างทรงในแต่ละพื้นที่ โดยครอบคลุมพื้นที่ในประเทศไทย ทำให้การหาพนักงานมาทำงานให้คุณเป็นไปได้ และการเข้าไปไซต์งานของคุณมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง

ออกคำสั่ง ให้ทำงานที่ง่ายๆทำงานในนามบริษัท

ผู้ที่เข้ามารับงานนั้นจะทำงานผ่านการเป็นพาร์ทเนอร์กับทางเรา โดยที่ผู้ว่าจ้างจะจ้างในนามบริษัท ต่อ บริษัท ทำให้ง่ายต่อกระบวนการทางบัญชี และการออกใบกำกับภาษีได้

ค่าบริการ

ค่าบริการในการบริการของร่างทรงแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับระยะทางไซต์งาน ระยะเวลาที่ต้องเข้าไปบริการ โดยแพกเกจเริ่มต้นจะอยู่ที่ 1,000 บาทต่อ 4 ชั่วโมงต่อครั้ง อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการ เช่น ส่วนเกินจากเวลาที่กำหนด หรือต้องการใช้บริการ 1 วัน 3 วัน ตามแต่ตกลงก่อนเริ่มงาน ซึ่งค่าบริการนั้นจะได้รับความยินยอมทั้งสองฝ่ายก่อนเริ่มงานจริง

จ้างต่อครั้ง จ้างเป็นระยะเวลา แตกต่างกันอย่างไร

การหาพาร์ทเนอร์นั้นสามารถจ้างได้ทั้งแบบรายครั้ง ต่อ 4 ชั่วโมง ต่อวัน ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อจบงานแล้วก็จบเป็นครั้งต่อครั้ง ในกรณีที่จ้างเป็นระยะเวลาเป็นการจองเวลาที่ต้องการใช้งาน เช่น ระยะเวลาจ้าง 1 เดือน เข้าหน้างานทั้งหมด 4 ครั้งๆละ 1 วันจะมั่นใจได้ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์คนเดียวกัน ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลง
จองร่างทรงไอที

ควรจองพนักงานล่วงหน้านานแค่ไหน

โดยทั่วไปการหาร่างทรงไอที เพื่อมารับงานนั้น การจะมีคนมารับงานหรือเปล่าขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของคนในพื้นที่ เช่น จังหวัดใหญ่มีคนอาศัยเยอะมีโอกาสจะได้คนมารับงานเร็วกว่า จังหวัดที่มีคนน้อยกว่า หรือ อยู่อำเภอรอบนอก โดยเราจะขอแนะนำให้ผู้ว่าจ้างนั้นมาจองคิว ดังนี้

  • พื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

    ในพื้นที่ดังกล่าวถือว่ามีประชากรอยู่สูง ถ้าหากต้องการในพื้นที่ดังกล่าว สามารถจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันทำการสูงสุดไม่เกิน 30 วัน

  • พื้นที่จังหวัดหัวเมืองหลักในแต่ละภาค

    ในพื้นที่ดังกล่าวอาจจะเป็นจังหวัดใหญ่ มีคนอยู่มาก ตัวอำเภอเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาก เราขอแนะนำให้จองเวลาอย่างน้อย 5 วันทำการสูงสุดไม่เกิน 30 วัน

  • พื้นที่จังหวัด อำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรน้อย

    ในพื้นที่เมืองรอง หรือตามอำเภอย่อยต่างๆ มีประชากรอยู่น้อย อาจจะจำเป็นต้องจองหาคนรับงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อให้เรามีพาร์ทเนอร์รับงาน ในบางกรณีอาจจะเป็นพาร์ทเนอ์จากพื้นทีอำเภอใกล้เคียงแตกต่างกันออกไปก็ได้เช่นเดียวกัน

  • ทั่วประเทศไทย

การทำงานของ พนักงานไอที จะเปลี่ยนไป

เก็บประวัติการทำงานของไอที

เก็บคอนแทคพนักงานก่อนเรียกใช้งานจริง

สิ่งที่หลายคนต้องประสบพบเจอคือการทำงานที่อาจจะไม่ราบรื่นไปตลอด เหตุนี้เองการเตรียมพร้อมในการหาพนักงานไอทีที่มีช่วงเวลาที่พร้อมเข้าหน้างานที่ต้องการล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ สามารถหาโปรไฟล์พนักงานไอทีฉุกเฉิน ที่มีความสามารถและโลเคชั่นในการรับงานไม่ห่างไกลจากตำแหน่งที่ต้องการของคุณไว้ล่วงหน้า เพื่อสะดวกในการส่งต่อ รับต่องานได้เพียงยกหูเรียกช่วยงาน

ถึงหน้างานตามเวลาที่กำหนด

เรามีพาร์ทเนอร์ที่อยู่ในพื้นที่ รู้เส้นทางในการเดินทาง ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกหน้างานเมื่อมีการส่งโลเคชั่นตามที่ตกลงกันไว้จะไม่มีปัญหาในการเข้าถึงงานล่าช้า 

พนักงานขับรถ ไปถึงหน้างาน
ออกใบกำกับภาษี ร่างทรง ไอที

ทำงานไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง คืนเงิน

เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับทุกธุรกิจ การหาคนมาทำงานช่วยเหลือคุณเป็นสิ่งที่เราคำนึงถึงเวลา ความสามารถ และความถูกต้องในการทำงานของคุณ ทำให้มั่นใจได้ว่าถ้าหากได้พนักงานไอทีฉุกเฉินมาทำงานเกิดไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องหน้างานต่างๆ เรายินดีคืนเงินเต็มจำนวนให้กับคุณ

หาร่างทรงไอที

กรอกแบบฟอร์มให้เราติดต่อกลับ

Network Protocol คือ การตัวกลางในการสื่อสารของอุปกรณ์

network protocol คือ

Network Protocol คือ ภาษาทางกลางในการสื่อสารที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยลำดับ วิธีการ และ กลไกการตรวจสอบความผิดพลาด โดยที่ผ่านชุดคำสั่งรูปแบบเดียวกัน กระบวนการเดียวกัน โดยทั่วไปในชีวิตประจำวันแล้วโพรโตคอลเองเป็นสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันอยู่แล้วโดยถ้าหากจะมองว่าพื้นฐานของสิ่งนี้คืออะไร องค์ประกอบที่มันจำเป็นต้องมีคือมาตรฐาน ลำดับการทำงาน เวลา และวิธีการซึ่งการตรวจสอบความผิดพลาดของมัน เรามีโปรโตคอลที่ใช้กันในชีวิตประจำวันนั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเราจะพูดคุยให้สุภาพมากขึ้น protocol ของการพูดคุยที่สุภาพอาจจะพูดลงท้ายด้วยหางเสียง เช่น ครับ ค่ะ ขอความกรุณา ยินดี หรือแม้กระทั่งการเขียนประโยคที่ภาษาจะประกอบด้วย ประธาน กริยา กรรม ซึ่งเมื่อรวมทั้งสามอย่างนี้แล้วในประโยคนั้นก็จะกลายเป็นโปรโตคอลของประโยคที่สมบูรณ์ ดังนั้นในชีวิตประจำวันนั้นเรามีการใช้รูปแบบที่มีมาตรฐานที่ใช้ร่วมกันอยู่มากมายในชีวิต

Network Protocol คือ มาตรฐาน กฏเกณฑ์ ที่ระบบคอมพิวเตอร์ใช้ร่วมกัน

Network Protocol คือ อะไร

โปรโตคอล โพรโตคอล ตามแต่ภาษาไทยจะเขียนเป็นทับศัพท์ มันเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ในทางคอมพิวเตอร์ระหว่างอุปกรณ์สองชิ้นให้เข้าใจกัน เพราะคอมพิวเตอร์นั้นมีอุปกรณ์ มีทั้งโปรแกรมในการทำงาน จำเป็นต้องมีตัวกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ในชีวิตประจำวันของเรามันจะพบเจอการสื่อสารระหว่างกัน เช่น เราพูดคุยกับเพื่อนในภาษาไทย ภาษาจึงเป็นตัวกลางในการสื่อสาร ดังนั้นต่อให้สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ แต่ผู้สื่อสารอีกคนไม่สามารถฟังภาษาอังกฤษได้ มันก็ทำให้ภาษาอังกฤษที่เป็นโพรโตคอลนั้นล้มเหลวนั่นเอง 

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าโพรโตคอลนั่นเป็นเหมือนภาษากลางที่สื่อสารระหว่างกัน โดยการสื่อสารเป็นการส่งข้อมูล (data) ถ้าหากยกตัวอย่างการสื่อสารระหว่างจอภาพ กับ ซีพียู ไม่สามารถสื่อสารกันได้โดยตรง จึงจำเป็นต้องมีตัวกลางในการแปลงสิ่งที่คีย์บอร์ดสื่อสารผ่านสาย USB แล้วถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอล ที่เป็นภาษาพื้นฐานที่รับรู้ร่วมกัน โดยการสื่อสารหลักๆของ Network protocol แบ่งเป็น 3 รูปแบบ

network protocol คือ กา่รเชื่อมโยงดิจิตอล เข้ากับมนุษย์
การสื่อสารผ่านโพรโตคอล นั้นจำเป็นต้องมีตัวกลางในการสื่อสาร โดยคอมพิวเตอร์เข้ามาทำหน้าที่เชื่อมต่อแทนมนุษย์

 

รูปแบบการสื่อสาร

การสื่อสารกันนั้นเกิดขึ้นระหว่างอุปกรณ์ อย่างน้อย 3 ชนิด โดยวิธีการสื่อสารนั้นแบ่งเป็น

  • Simplex การสื่อสารฝั่งเดียว

    การสื่อสารชนิดนี้เป็นการที่สื่อสารไปฝั่งเดียวโดยไม่ต้องตอบกลับ เป็นสิ่งที่ถูกใช้งานในช่วงแรกๆของการสื่อสาร โดยเป็นการสื่อสารไปยังฝั่งเดียวและอีกฝั่งของผู้รับสารไม่มีการตอบรับได้  ยกตัวอย่างการถ่ายทอดสดโทรทัศน์ การกระจายภาพเสียงไปยังเครื่องทีวีอ ซึ่งผู้ดูทีวีเองไม่สามารถตอบสนองกับสิ่งที่ถ่ายทอดได้

  • Half duplex การสื่อสารทีละฝั่ง

    การสื่อสารรูปแบบนี้เป็นการที่สามารถสื่อสารทั้งสองฝั่งได้ แต่สื่อสารทีละฝั่ง เป็นยุคต่อมาของการสื่อสารซึ่งเป็นการสลับฝั่งการรับสาร และตอบกลับ ไม่สามารถตอบรับไปกลับได้อย่างทันที ในการส่งสารแบบสลับนี้นิยมใช้กับการสื่อสารที่จำกัด Bandwidth จำกัดอย่างในการส่งคลื่นวิทยุนั่นเอง

  • Duplex การสื่อสารสองทาง

    การสื่อสารชนิดนี้เป็นการสื่อสารตอบโต้ได้ระหว่างกันที่มีให้เห็นได้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น การถามตอบกับคนข้าง ในทางคอมพิวเตอร์การใช้งานประเภทนี้จะเห็นได้จากการคุยโทรศัพท์ การแชทกัน หรือ การดูไลฟ์ในโซเชี่ยลมีเดียที่ผู้ขมสามารถแสดงความคิดเห็นได้แบบเรียลทาม โดยเบื้องหลังการทำงานแบบนี้จำเป็นต้องมีการส่งสัญญาณที่เร็วและแรงพอ มีช่องสัญญาณการรับส่งที่มากเพียงพอที่จะสามารถทำให้ข้อมูลสองชนิดทำงานส่งไปกลับระหว่างกันได้

    รูปแบบการสื่อสารผ่าน Network protocol
    วิธีการสื่อสารกันของมนุษย์เองที่เข้ามาคุมคอมพิวเตอร์นั้นมีทั้งการส่งทางเดียว รับ หรือ สามารถมีการตอบสนองต่อการส่งข้อมูลนั้นได้

หลักการทำงาน

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าโพรโตคอลเป็นภาษากลางในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ 2 ชนิดที่อาจจะเหมือนหรือต่างกันก็ได้ โดยใช้ภาษาสากลรูปแบบเดียวกัน มีกฏเกณฑ์ร่วมกัน โดยองค์ประกอบของการทำงานของระบบนี้จะแบ่งเป็นลำดับขั้นที่ชื่อว่า OSI model หรือ The Open System Interconnection ซึ่งเป็นการอธิบายสิ่งที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์นั้นสามารถคุยไปมาระหว่างกัน โดยการจัดลำดับชั้นของการสื่อสารนั้นจะถูกแบ่งเป็น 7 ชั้นตามลำดับความซับซ้อนของการใช้งาน

  • ขั้นที่ 1 Physical layer

    ขั้นนี้เป็นส่วนที่ทำในส่วนของการรับส่งข้อมูลดิบ โดยเป็นระดับที่สามารถเห็นและจับต้องได้ตัวอย่างของการสื่อสารในระดับนี้ เช่น สายไฟ สายเคเบิลที่เชื่อมต่อ เป็นต้น

  • ขั้นที่ 2 Data layer

    ขั้นนี้เป็นกระบวนการส่งข้อมูลดิบคล้ายกับในชั้นแรก สิ่งที่แตกต่างเพิ่มเติมจากการชั้นแรกคือส่งข้อมูลที่ไม่ผิดพลาดตัวอย่างเช่น การส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านสาย LAN โดยการส่งข้อมูลผ่านสัญญาณไฟฟ้า

  • ขั้นที่ 3 Network layer

    ขั้นนี้เป็นการส่งข้อมูลระหว่าง Router และคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย จะถูกกำหนดด้วย Address Resolution Protocol หรือ ARP เป็นตัวกลางในการกำหนดเลขที่ Internet protocol address ที่ทำหน้าที่กำหนดตัวตนของคนใช้อินเตอร์เน็ตให้ระบุตัวตนไม่ซ้ำกัน
    osi layers network protocol คือ การจัดการข้อมูลตามลำดับความสำคัญ

  • ขั้นที่ 4 Transport layer

    ขั้นนี้เป็นลำดับของการรับส่งข้อมูลโดยเฉพาะ ถ้าหากเป็นการรับส่งระหว่าง Switch hub และ คอมพิวเตอร์ในเครือข่าย จะเรียกว่า Transmission Control Protocol หรือ TCP

  • ขั้นที่ 5 Session layer

    ขั้นนี้เป็นการจัดการข้อมูลการสื่อสาร โดยหน้าที่หลักเป็นการจัดการส่งข้อมูลออกไปทั้งไปและกลับ โดยจะตรวจสอบว่าถูกส่งหรือยัง ถ้าหากขาดการเชื่อมต่อจะมีระยะเวลาที่เชื่อมต่อใหม่

  • ขั้นที่ 6 Presentation layer

    ขั้นนี้เป็นขั้นที่ทำงานอยู่ระหว่างการแปลข้อมูลเพื่อให้โปรแกรมทำงาน การเข้ารหัสข้อมูล การบีบอัดข้อมูล โดยขั้นตอนนี้ไม่มีความซับซ้อน เพราะทำงานแค่ระดับไวยากรณ์ ถ้าหากคำสั่งถูกต้องก็ทำงานได้

  • ขั้นที่ 7 Application layer

    ขั้นนี้เป็นลำดับที่ซับซ้อนที่สุด โดยเป็นการสั่งการในภาษาขั้นสูงที่เราใช้กัน เช่น การเข้าถึงไฟล์ การค้นหาบนเว็บไซต์ จะใช้โพรโตคอล HTTP โดยผ่านโปรแกรม Safari , Firefox , Edge และอื่นๆ นอกจากนี้จะมีการดึงข้อมูลในส่วน Presentation เข้ามาเป็นส่วนประกอบด้วย

    osi model
    การเชื่อมต่อของข้อมูลผ่าน network protocol นั้นมีโมเดลการสื่อสารด้วย OSI model
  •  

รับเทคนิคความรู้ดีๆ เรื่อง "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

 ส่วนประกอบที่ต้องมีในทุกโพรโตคอล

จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าการเกิด Network protocol นั้นมีเพื่อการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์กับอุปกรณ์ด้วยกันเองทั้งต้องการความสมบูรณ์ของการสื่อสาร รวมถึงการควบคุมการไหลของข้อมูล โดยการจะมีการสื่อสารกันผ่านองค์ประกอบด้วย

  • Message encoding (การถอดรหัสข้อมูล)

    การเข้ารหัสของข้อมูล เป็นกระบวนการแปลงข้อมูลให้สามารถส่งออกไปได้โดยแปลงจากข้อความ เสียง หรือ ชุดข้อมูลแปลงเป็นชุดตัวเลขฐานสองแล้วส่งออกไปหรือที่เรียกว่าสัญญาณดิจิตอล (เลขสองตัว 010110 รวมขึ้นเป็นองค์ประกอบ) รวมถึงเทคนิคการเข้ารหัสที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะการใช้งาน อย่างเช่นการบีบอัดข้อมูล การแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด การปรับปรุงการแสดงผลเนื้อหามีเดีย เป็นต้น

  • Message formatting and encapsulation (การจัดรูปแบบและห่อหุ้มข้อมูล)

    การจัดการรูปแบบการรับส่งข้อมูล รวมถึงวิธีการจัดระเบียบข้อมูลในการส่งจากต้นทางไปปลายทางโดยวิธีการเฉพาะ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งโดยพื้นฐานของการส่งข้อมูลนี้จะมีส่วนหัวส่วนท้าย หรือการระบุผู้รับผู้ส่ง รูปแบบความปลอดภัยในการจัดส่งข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าสารที่ส่งไปถึงปลายทางนั้นมีความถูกต้อง และไม่ถูกดัดแปลงเปลี่ยนแปลงระหว่างทางencoding message

  • Message size (ขนาดของข้อมูล)

    การจัดการขนาดของข้อมูล ถ้าหากเรามีหนังสือหนึ่งเล่ม แต่เรามีเวลา 5 นาทีในการอธิบาย เราจะต้องแบ่งเนื้อหาเฉพาะส่วนสำคัญในการสื่อสารข้อมูล คอมพิวเตอร์ก็ทำเช่นเดียวกัน ในการบีบอัดข้อมูลเป็นส่วนๆ ส่งไประหว่างเครือข่าย สิ่งที่คอมพิวเตอร์นั้นทำแตกต่างจากมนุษย์คือสามารถจัดการความเร็วในการจัดส่งได้ตามข้อจำกัดของเครือข่าย และรักษาจราจรของข้อมูล(data traffic) ไม่ให้ติดขัด ซึ่งในบางกรณีโพรโตคอลบางตัวอาจจะมีการจำกัดความสามารถสูงสุดของข้อมูลเพื่อรักษาการทำงานส่วนอื่นๆไม่ให้มีปัญหา

  • Message timing (เวลาในการส่งข้อมูล)

    การจัดการระยะเวลาในการส่งข้อมูลเป็นการนับระยะเวลาที่ข้อความจากผู้ส่งไปถึงผู้รับที่ปลายทาง อัตราการส่งข้อความ และเวลาโดยรวมตั้งแต่เริ่มส่งจนไปถึงปลายทางนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ที่ส่งจดหมายจากตู้ไปรษณีย์ไปถึงไปรษณีย์ส่งจดหมายถึงบ้านที่ปลายทาง นับระยะเวลาเป็นจำนวน 3 วัน 4 ชั่วโมง 11 นาที แต่การส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายนั้นอาจจะเหลือเพียงระยะเวลาเพียง 0.011 วินาที ซึ่งถ้าในการใช้งานเพียงคนเดียวอาจจะไม่ได้ช้าแต่อย่างใด แต่ถ้าหากมีการส่งพร้อมกันมากๆ ด้วยระยะเวลาในการทำรายการ 0.011 วินาทีพร้อมกัน 100,000,000 ล้านข้อความก็อาจจะทำให้จราจรทางข้อมูลติดขัด แล้วระยะเวลาในการจัดส่งอาจจะเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง

    network communication failure
    หลายครั้งการส่งข้อมูลระหว่างกันนั้นมีข้อผิดพลาด เรามักจะเห็นการแจ้งเตือนจากระบบด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

     

  • Message delivery option (วิธีการส่งข้อมูล)

    การจัดการรูปแบบการส่งข้อมูลระหว่างกันนั้นมีอยู่ 5 รูปแบบ

    • Unicast (การส่งข้อมูลหาคนเดียว)

      วิธีการนี้เป็นการส่งจากเครื่องส่ง ไปหาผู้รับเพียงเครื่องเดียว เป็นวิธีการที่ถูกใช้มากที่สุด พบเห็นได้บ่อยสุดในชีวิตประจำวัน อย่างการส่งแชทหาเพื่อนอีกคน การส่งอีเมลที่ระบุปลายทาง การส่งไฟล์ให้เพื่อน

    • Multicast (การส่งข้อมูลหาหลายคน)

      วิธีการนี้เป็นการส่งด้วนคนเดียวไปหาผู้รับหลายคนในเวลาเดียวกัน เป็นวิธีการที่มีประโยชน์ ลดเวลาการทำงานลงได้มาก เราจะเริ่มเห็นได้มากในการไลฟ์สด (live steaming) การดูถ่ายทอดสดจากอินเตอร์เน็ตทีวี

    • Guranteed (การส่งข้อมูลแบบรับประกัน)

      การส่งข้อมูลชนิดนี้เป็นการส่งแบบรับประกันว่าการส่งข้อมูลนั้นถึงผู้รับโดยต้องการการรับประกัน ไม่ซ้ำ และถูกต้องที่สุด โดยกระบวนการเหล่านี้จะตรวจสอบแน่ใจว่าข้อมูลนั้นถึงผู้รับปลายทางแล้ว ถ้าหากยังไม่ถึง หรือเกิดข้อผิดพลาดประการใดก็ตาม ระบบจะมีการส่งข้อมูลเดิมซ้ำอีกครั้ง โดยวิธีการดังกล่าวนี้เราจะมีทั้งกระบวนการตรวจสอบข้อผิดพลาก กลไกการตรวจสอบข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ตัวอย่างที่เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวันได้แก่การประชุม VDO conference การควบคุมรีโมทเข้ามาในคอมพิวเตอร์ เนื่องจากวิธีการดังกล่าวนั้นจำเป็นต้องการความถูกต้องและประสิทธิ์ภาพสูงเป็นสำคัญ

      data transport
      การส่งข้อมูลจากต้นทางสู่ผู้รับนั้นมีขั้นตอนขึ้นอยู่กับรูปแบบการส่งข้อมูล ปริมาณข้อมูล และความกังวลด้านความปลอดภัย
    • Best effort (การส่งข้อมูลแบบไม่รับประกันการส่ง)

      วิธีการนี้จะสามารถส่งจากต้นทางไปถึงปลายทางได้ แต่ไม่ได้มีการรับประกันการส่ง รวมถึงอาจจะไม่มีระยะเวลาที่กำหนดในการส่ง โดยการส่งนี้นำมาใช้กับการส่งไฟล์หากัน ถ่ายโอนไฟล์ โดยการส่งนั้นจะขึ้นอยู่กับจราจรของข้อมูล (bandwidth) และปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยๆคือการโอนข้อมูล ดาวน์โหลดไฟล์หากัน ในการส่งไฟล์หากันนั้นจะส่งช้าเร็วขึ้นอยู่กับทั้งความเร็วอินเตอร์เน็ตของเราและคนที่รับข้อมูล ความเร็วในการรับส่งข้อมูลระหว่างตัวกลาง (ในที่นี้เป็นเซิฟเวอร์) ซึ่งจากตัวอย่างนี้เองข้อมูลที่ถูกส่งอาจจะมีความไม่ครบถ้วนหรือตกหล่นบ้าง แต่อย่างน้อยข้อมูลส่วนหนึ่งจะส่งมาถึงปลายทางแล้ว

    • Reliable (การส่งที่เชื่อถือได้)

      การส่งรูปแบบนี้เป็นการส่งที่ครอบคลุมที่สุด มีการรับประกันการส่งจากต้นทางไปยังปลายทางได้อย่างสำเร็จ ไม่มีการซ้ำกัน มีระเบียบและขั้นตอน ซึ่งระบบเองจะตรวจสอบระยะเวลาที่ส่งไปปลายทาง มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ถ้าหากไม่เป็นไปตามนั้นก็จะมีการจัดส่งซ้ำหรือแจ้งให้ผู้ส่งข้อมูลรับทราบถึงปัญหาของการจัดส่งข้อมูล โดยการจัดส่งด้วยวิธีนี้จะใช้งานในงานที่ต้องการความถูกต้องแม่นยำสูง อย่างการควบคุมเครื่องจักร ควบคุมรถยนต์ไร้คนขับ การโอนเงินผ่านแอพพลิเคชั่น

สมัครรับข่าวสาร "ความปลอดภัยไอทีในองค์กร"

firewall

Firewall as a Service

ช่วยออกแบบความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล​​

  • Firewall subscription model
  • ดูแลระบบโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต
  • มีการตั้งค่า configuration ตามนโยบายบริษัท
  • มีทีมงานดูแลระบบให้ตลอดอายุการใช้งาน

ปรึกษาการทำระบบ Cyber Security

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้